นักวิชาการ มธ.แนะรัฐบาลหนุน Tokenization หลัง ‘ทรัมป์’ ตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์

นักวิชาการธรรมศาสตร์ วิเคราะห์คำสั่งตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์ฯ ของทรัมป์ ช่วยการันตี-สนับสนุนการเงินดิจิทัล เป็นสัญญาณบวกต่อตลาดคริปโตฯ ทั่วโลก แนะรัฐบาลไทยสนใจกระบวนการแปลงสินทรัพย์สู่รูปแบบดิจิทัล
ศ.ดร.อาณัติ ลีมัคเดช คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงกรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามคำสั่งตั้ง “กองทุนสำรองบิตคอยน์ทางยุทธศาสตร์” หรือ Bitcoin Strategic Reserve Fund และประกาศแผนผลักดันให้สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลางคริปโตฯ ของโลก” ตอนหนึ่งว่าสิ่งที่ชัดเจนและสำคัญจากการตั้ง Bitcoin Strategic Reserve Fund ของสหรัฐ คือ ส่งสัญญาณการยอมรับและส่งเสริมระบบการเงินดิจิทัล คริปโทเคอร์เรนซี เทคโนโลยีบล็อกเชน และนวัตกรรมทางการเงินรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะตามมาอีกมาก
ศ.ดร.อาณัติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาภูมิรัฐศาสตร์ของโลกเกิดความเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยอำนาจของสหรัฐอเมริกาเริ่มถูกสั่นคลอน เช่นเดียวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในฐานะเงินสกุลหลักของโลกก็เกิดความท้าทาย
นอกจากนี้จุดเปลี่ยนหนึ่งที่สำคัญคือการเกิดประเด็นที่ว่า ในอนาคตเงินดอลลาร์สหรัฐอาจไม่ถูกใช้ในการซื้อขายน้ำมันทั่วโลก นั่นจึงกลายเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่สหรัฐต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐขึ้นมา ซึ่งการจัดตั้ง Bitcoin Strategic Reserve Fund แม้จะมีส่วนช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในค่าเงินสหรัฐไม่มากนัก แต่จะส่งผลกระทบสำคัญในความเชื่อมั่นทิศทางการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินด้วยเทคโนโลยี Blockchain ให้กับสหรัฐ
“เมื่อทรัมป์เข้าสู่ตำแหน่งจึงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเรื้อรังมานาน อย่างการขาดดุลการค้า หรือปัญหาเงินเฟ้อ การต่อสายไปคุยกับมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียเพื่อฟื้นความสัมพันธ์ ทั้งหมดถือเป็นการเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับค่าเงินดอลลาร์” ศ.ดร.อาณัติ กล่าว
ศ.ดร.อาณัติ กล่าวต่อไปว่า เมื่อกลับมาดูท่าทีของทรัมป์จะพบว่าไม่ใช่คนที่สนับสนุนคริปโทฯ มาตั้งแต่ต้น แต่ภายหลังเมื่อได้เห็นภาพว่าคริปโทฯ ไม่ใช่เพียงการเก็งกำไร แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน และหัวใจการค้าของสหรัฐฯ คือความเป็นศูนย์กลางทางการเงิน ทรัมป์จึงหันกลับมาสนับสนุนคริปโทฯ และเมื่อมาเป็นประธานาธิบดีก็ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาอย่างน้อย 2 คณะ เพื่อสนับสนุนการใช้ A.I. และคริปโทเคอร์เรนซี
รวมถึงการมีประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐฯ คนใหม่ จากคนเดิมที่ออกแนวต่อต้านกลายมาเป็นคนที่สนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี ผนวกกับการส่งสัญญาณแรงว่าจะมีการถอนฟ้องคดีต่างๆ ที่ค้างคาระหว่าง ก.ล.ต.สหรัฐ กับตลาดแลกเปลี่ยนคริปโทฯ รายใหญ่ ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลในทางบวกให้กับตลาดคริปโทฯ ทั่วโลก
“ช่วงที่ทรัมป์ขึ้นมาเป็นผู้นำ ราคาบิตคอยน์กระโดดขึ้นพรวดพราด รวมถึงหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่ลงทุนในคริปโทฯ แม้ช่วงนี้จะมีกระแสที่เริ่มดรอปลง ราคาดิ่งลง อะไรต่างๆ มองว่าเป็นเพราะที่ผ่านมาตลาดเกิด Overreact ขึ้นไปจนสูงแล้วลดลง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของตลาดที่ตอบรับกับข่าวดี แต่เชื่อว่าสิ่งที่สำคัญคือการส่งสัญญาณชัดเจนว่าอย่างน้อยช่วงที่ทรัมป์อยู่ในตำแหน่ง การซื้อ-ขายคริปโทฯ จะไม่ได้ถูกมองแบบจ้องจับผิด แต่จะจ้องจับถูก เกิดความพยายามในการเสนอนโยบายที่เป็นการสร้างนวัตกรรมขึ้นมาแทน” ศ.ดร.อาณัติ กล่าว
ดังนั้นเมื่อสหรัฐขยับตัวแรงเช่นนี้ก็เป็นจุดน่าสนใจที่ประเทศต่างๆ จะกลับมามอง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เคยมีการศึกษาโครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น แต่เชื่อว่าการศึกษาอีกหลายอย่างจากหน่วยงานกำกับ ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ โบรกเกอร์ ก.ล.ต. ฯลฯ ต่างมีแนวคิดการเตรียมตัวที่พร้อมไว้อยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อใดที่รัฐบาลไทยมีความพร้อมหรือมีสัญญาณเชิงบวกต่อเรื่องนี้ ก็จะเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า Tokenization หรือการแปลงสินทรัพย์ไปสู่รูปแบบดิจิทัล ได้มากขึ้น
“ตัวอย่างเช่น การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันเรายัง T+2 คือต้องใช้เวลาในการดำเนินการ 2 วัน แต่เมื่อไรหากเราแปลงเงินบาทเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้ มันจะกลายเป็น T+0 เพราะเงินกับหุ้นสามารถโอนไปแบบเรียลไทม์ได้ทันที ทั้งช่วยลดความเสี่ยงและลดต้นทุนที่จะเกิดขึ้นได้พร้อมกัน และหากเราขยายความคิดต่อ ไม่ได้ทำแค่หุ้น แต่ไปสู่พันธบัตร ทองคำ หรือแม้แต่กระบวนการภาครัฐก็ทำได้ อย่างการซื้อขายที่ดิน ต่อไปการโอนซื้อขายกันอาจไม่จำเป็นต้องไปสำนักงานที่ดินแล้ว แต่สแกนโอนจ่ายกันได้ทันทีเหมือนเวลาไปซื้อของในตลาด พวกนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะจะเป็นการลดต้นทุนและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมได้อย่างมหาศาล” ศ.ดร.อาณัติ กล่าว
ศ.ดร.อาณัติ กล่าวสรุปว่า สัญญาณจากสหรัฐฯ นั้นจึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และความเชื่อมั่นต่อเทคโนโลยี โดยกระบวนการ Tokenization อาจเป็นเพียงพื้นฐาน แต่การประยุกต์ใช้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นผ่านระบบที่ไม่มีตัวกลาง หรือ Decentralized Finance (DeFi) คือสิ่งที่จะช่วยสร้างให้เกิดนวัตกรรมและช่องทางการเงินที่ตามมาอีกมากมาย หากต่อไปเมื่อนักธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย การเติบโตทางธุรกิจทำได้ง่ายขึ้น ก็จะส่งผลรวมไปถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นกัน







