ยานยนต์ไทยพ้นจุดต่ำสุด หวัง 3 ปี ฟื้นตัวพ้นยูเซฟ

ยานยนต์ไทยพ้นจุดต่ำสุด หวัง 3 ปี ฟื้นตัวพ้นยูเซฟ โดยยานยนต์ในไทยกำลังเผชิญพายุลูกใหญ่จากทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ลดลง สถาบันการเงินชะลอการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
KEY
POINTS
- ยานยนต์อยู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดรถยนต์ทั้งโลกปี 67 ไม่เติบโตมากนัก เจอความท้าทายจากสงครามการค้าและนโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์”
- มาตรการภาษี EV ถูกนำมาใช้ หลายประเทศเริ่มตอบโต้ ซึ่ง EU เรียกเก็บภาษีอีวีจากจีนเพิ่มขึ้น หากมองในมุมภาคอุตสาหกรรม การตอบโต้จะมีผลสะท้อนกลับมาทำให้อุตสาหกรรมหนีไม่พ้น
- เราพูดถึงเทคโนโลยีดิสรัปชันที่มาใส่ในยานพาหนะ ส่วนการผลิตจะมีระบบออโตเมชัน ซึ่ง Tesla ใช้ระบบออนไลน์รวมถึงออนไลน์รีเทล ทุกค่ายรถต่างปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดใน 5-10 ปี
อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยกำลังเผชิญพายุลูกใหญ่จากทั้งเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง ปัญหาสถาบันการเงินชะลอการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากเครื่องยนต์สันดาปเป็นยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งนำมาสู่การผลิตรถยนต์ที่ชะลอตัว โดย
น.ส.ยุพิน บุญศิริจันทร์ ประธาน Cluster of FTI Future Mobility-ONE และประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า อุตสาหกรรมยานยนต์อยู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากวิกฤติเศรษฐกิจทั่วโลก ส่งผลให้ตลาดรถยนต์ทั้งโลกปี 2567 ไม่เติบโตมากนัก ทั่วโลกเจอความท้าทายจากสงครามการค้าและนโยบายประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์”
ขณะมาตรการภาษี EV ถูกนำมาใช้หลายประเทศใช้นโยบายตอบโต้ ซึ่ง EU เรียกเก็บภาษีอีวีจากจีนเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากมองในมุมภาคอุตสาหกรรม การตอบโต้นโยบายจะมีผลสะท้อนกลับมาทำให้อุตสาหกรรมหนีไม่พ้น
ทั้งนี้กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท.มีแนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนไทย โดยมีข้อเสนอต่อรัฐบาล อาทิ การรักษาและต่อยอดความเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนให้แข่งขันได้ในตลาดโลก การสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนสมัยใหม่และเตรียมพร้อมสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
อีกทั้งการมาของ EV จีนจะมีเรื่องของเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วยจึงอย่ามองแค่ EV อย่างเดียวเหมือนเช่นโทรศัพท์มือถือที่ปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อได้กับอุปกรณ์ภายในรถยนต์ บางค่ายเสนอนโยบาย Automatic ให้ช่วยขับรถเพิ่มการขับขี่ที่ปลอดภัยมากขึ้น จึงเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาพร้อมกับรถอีวี ถือเป็นเรื่องที่อุตสาหกรรมต้องปรับตัว
“ปีที่แล้วเราพูดถึงเทคโนโลยีดิสรัปชันที่มาใส่ในยานพาหนะ ส่วนการผลิตจะมีการใช้ระบบออโตเมชัน ซึ่ง Tesla ใช้ระบบออนไลน์รวมถึงออนไลน์รีเทล ซึ่งมีบทบาทต่อยานยนต์อนาคต ซึ่งทุกค่ายรถมีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดใน 5-10 ปีข้างหน้า”
อย่างไรก็ตาม จากนโยบายทรัมป์ที่จะขึ้นภาษีรถยนต์ 25% ในการนำเข้า ยอมรับว่ามีความกังวล เพราะไทยส่งออกไปสหรัฐแม้จะไม่ใช่ตลาดหลักโดยสัดส่วนรถยนต์นั่งอยู่ที่ 2% มูลค่ากว่า 300 ล้านดอลลาร์ แต่ส่งออกชิ้นส่วนสูง ซึ่งอาจจะกระทบด้านภาษี จึงต้องจับตาว่าจะมีชิ้นส่วนยานยนต์อื่นๆ อีกหรือไม่
“ประเทศเม็กซิโกและแคนาดาจะมีข้อตกลงการผลิต ซึ่งเม็กซิโกจะได้รับผลกระทบมากสุด เพราะส่งออกรถไปสหรัฐค่อนข้างสูง มีหลากหลายประเทศที่ไปตั้งฐานการผลิตก็ต้องมีการปรับกลยุทธ์ เช่น การเจรจาเพื่อขอยกเว้นหรือแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างที่สหรัฐต้องการ หรือในบางประเทศหากเจรจาไม่ได้ก็อาจจะใช้วิธีตอบโต้”
น.ส.ยุพิน กล่าวว่า ส่วนตลาดรถยนต์ในประเทศไทยปีที่ผ่านมาถือว่าสาหัสมาก ในขณะที่ปี 2568 จะพยายามมองภาพให้ใกล้เคียงกับทุกปี ซึ่งจะเห็นว่าปีที่แล้วมีการปรับตัวเลขถึง 2 ครั้ง จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 1.9 ล้านคัน แต่มีจำนวนทั้งสิ้น 1.46 ล้านคัน ลดลงจากปี 2566 ที่ 19.95%
ดังนั้น ปี 2568 อาจทรงตัวและอาจไม่ได้แย่กว่าปีที่แล้วโดยปีนี้ตั้งเป้าการผลิตรวม 1.5 ล้านคัน แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 5 แสนคัน
“กำลังซื้อหดตัวลงมากจึงต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจมหภาค และหาทางช่วยอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงเจอพายุเศรษฐกิจ หวังว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะกำลังฟื้นตัวในรูปตัว U มองรอบนี้ 3 ปี”
หวัง“บสย.”ค้ำเงินกู้ช่วยดันยอดซื้อรถกระบะ
อย่างไรก็ตาม หวังว่ามาตรการที่ภาครัฐออกมาจะมีมาตรการอื่นที่ช่วยลดผลกระทบให้กลุ่มยานยนต์ โดยที่ผ่านมามีการเสนอมาตรการต่างๆ อีกทั้ง จากนโยบายภาครัฐโดยการให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินกู้และช่วยให้การขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ง่ายขึ้น กิจการทางเศรษฐกิจจะเติบโต ถือเป็นสิ่งที่เราหารือกับภาครัฐ
“ต้องเข้าใจว่าการเข้มงวดของทางสถาบันทางการเงินคำนึงมาจากสัดส่วนของหนี้เสียที่สูงมาก ซึ่งตลอดปีที่ผ่านมา ส.อ.ท.เคยหารือกับภาครัฐในหลายโอกาส ทั้งเรื่องของให้รัฐช่วยผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อ การจัดตั้งกองทุนค้ำประกัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากภาครัฐ เป็นต้น”
ทั้งนี้ เนื่องจากปีที่แล้วกลุ่มรถกระบะค่อนข้างยอดตกเยอะกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งแม้ว่าต้นปีจะเป็นบวกบ้างในด้านการส่งออก ส่วนสภาพเศรษฐกิจที่ปัจจุบันยังติดปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อาจจะยังไม่พื้นตัว ความต้องการของตลาดอาจจะยังไม่กลับมา โดยเฉพาะในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งยังมีอัตราสูงกว่า 50%
ตลาดออสเตรเลียสูง เร่งใช้เทคฯคงส่วนแบ่ง
“สัดส่วนการผลิตรถยนต์หากแยกประเภค 100% จะเป็นรถกระบะ 60% โดยกว่า 80% เป็นการส่งออก ส่วนรถยนต์นั่งสัดส่วนที่ 38% และรถบรรทุกราว 2% ตามลำดับ โดยขณะนี้ตลาดส่งออกหลายประเทศใช้มาตรการเข้มงวดในเรื่องของนโยบายการปล่อยมลพิษ ซึ่งตลาดส่งออกไทยมากสุดคือออสเตรเลีย ซึ่งเข้มงวดการปล่อยมลพิษมากขึ้นทำให้กลุ่มรถกระบะเองยังเน้นเครื่องยนต์ดีเซลต้องปรับเทคโนโลยีในการลดมลพิษ”
ทั้งนี้ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นอีกเรื่องที่จะเข้าสู่ตลาดรถที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องปรับพอร์ตเพื่อให้ตอบโจทย์แต่ละค่าย เป็นเทรนด์ที่ภาคเอกชนต้องหยิบยกมาหารือกับภาครัฐมากขึ้น
ส่วนตลาดอีวีในไทย ภาครัฐส่งเสริมตั้งแต่ปี 2018-2019 เน้นมาตรการส่งเสริมผู้ที่มาลงทุนเพื่อผลิต ในขณะที่ปี 2022 แม้ฐานฐานเดิมปี 2022 ที่ยอดขายยังต่ำ รัฐบาลได้สนับสนุนอีวี 3.0 เริ่มสนับสนุนผู้บริโภคเพื่อกระตุ้นการซื้อจึงเห็นการเติบโตก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2022-2023 และอนุญาตให้นำเข้า ในขณะที่ปี 2024 ต้องผลิตเพื่อชดเชยเป็นปีแรก แต่ด้วยสงครามเศรษฐกิจและราคาจึงเป็นปัจจัยให้การผลิตไม่ได้มากกว่าที่คาดการณ์
หวังรัฐส่งเสริมการลงทุนอีวีต่อเนื่อง
“ด้วยเทรนด์ EV วันนี้จะยังคงไปได้ แต่อาจจะไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงแรก และยังเป็นเทรนด์ที่ต้องพัฒนา ภาครัฐยังกำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุกใน EV ส.อ.ท. มีสมาชิกเป็นผู้ประกอบการ EV จึงต้องการการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อเนื่อง และการอำนวยความสะดวกสบาย ซึ่งบอร์ด EV ยังอนุญาตให้ผลิตทดแทนออกไปอีก 3 ปี”
น.ส.ยุพิน กล่าวว่า โจทย์ใหญ่ที่ต้องก้าวผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ดั้งเดิมคือต้องตอบโจทย์อนาคต เอกชนได้พยายามนำเสนอในกลุ่มยานยนต์ว่าจะทำอย่างไรให้ไทยที่เคยเป็นฐานการผลิตของยานยนต์สมัยใหม่ได้ จากดั้งเดิมตามนโยบาย 30@30 แต่ด้วยความต้องการเครื่องยนต์สันดาปยังมีจึงได้มุ่งเป้าที่ 70@30 เพราะจาก GDP ที่ยอดการส่งออกไทยกว่า 170 ประเทศ ยังมีตลาดที่ต้องการ โดยเฉพาะ ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ
“เครื่องยนต์สันดาปภายในยังมีโอกาส จึงต้องขอบคุณภาครัฐที่มองว่าการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสำคัญ ส.อ.ท.มีโอกาสนำเสนอขอให้รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมการเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยจะรวมไฮบริดด้วย ส่วน 30@30 ก็จะต้องสนับสนุนด้วย ถือเป็นภาพใหญ่ที่ปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องไปด้วยกัน ด้วยนโยบายต้องการสนับสนุนให้มีการเพิ่มการลงทุนในไทย ดังนั้น การผลิตรถยนต์ยั่งยืนกับดั้งเดิมจะไปด้วยกัน”
จี้รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นกำลังซื้อ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่เป็นตัววัดคือกำลังซื้อ ซึ่งดีมานด์ในตลาดที่หดตัวลง อาจต้องการนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพใหญ่ จะทำอย่างไรให้บริษัทรถยนต์ที่ลงทุนในไทยยังสามารถอยู่รอดในช่วงวิกฤติปัญหารุมเร้าโดยเฉพาะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งทุกค่ายรถต้องปรับตัว ปรับเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองผู้บริโภค ส่วนที่น่าจับตามองคือ ปัจจัยทางภายนอกเองก็อาจจะมีผลต่อความสามารถของอุตสาหกรรมไทยที่ต้องส่งออกไปทั่วโลก จึงต้องจับตาใกล้ชิด
ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ยังต้องใช้เวลาราว 5 ปี หรือนานกว่านั้น ส่วนตัวมองว่าช่วง 2-3 ปี น่าจะเห็นการฟื้นตัว หากเป็นมาตรการของทรัมป์ที่อาจจะมีอิมแพ็คที่รุนแรงอาจจะเปลี่ยนแปลงได้อีก เหมือนตัวเลขที่ส.อ.ท.ประกาศปรับลดเป้าลงจึงต้องมองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แล้วนำข้อมูลมาปรับให้ทันต่อสถานการณ์ จึงหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
สำหรับค่ายรถแบรนด์จีนที่มาตั้งในไทย โดยได้รับการสนับสนุนจาก BOI ลักษณะเป็นการลงทุนผลิตเพื่อขายและส่งออก แม้ระยะแรกซัพพลายในประเทศก่อน แต่เชื่อว่าหลายค่ายที่ผลิตตั้งใจส่งออกด้วย ส่วนนโยบายทรัมป์จะกระทบยอดส่งออกแบรนด์จีนหรือไม่นั้นยังต้องจับตา
หวั่นสหรัฐตรวจเข้มอีวีจีนในไทย
ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาจะต้องพยายามเปลี่ยนรถแบรนด์จีนให้เป็นออริจิ้นจากไทย ซึ่งสหรัฐจะจับตาเช่นกันอยู่ที่ว่าจะเจาะ EV จีนโดยตรงหรือไม่ ดังนั้น ทางออกทางรอดจะต้องเปลี่ยนออริจิ้นให้เป็นรถที่ผลิตในไทย และใช้ชิ้นส่วนในไทยมากขึ้น ถือเป็นความคาดหวังในการตั้งสายการผลิตในไทยเพื่อสนับสนุนซัพพลายเชนในไทย
“โรงงานจีนจะอยู่ในเขตพรีโซน ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ซึ่งสถาบันยานยนต์ กระทรวงอุตสาหกรรม จะเป็นผู้ตรวจสอบและอนุญาต ตามกฎระเบียบ อีกทั้ง ในการสนับสนุนซัพพลายเชนไทย ภาครัฐมีการจับคู่ธุรกิจให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนมากขึ้น ซึ่งอุตสาหกรรมชิ้นส่วนต้องยกระดับตัวเอง ภาครัฐต้องช่วยสนับสนุนให้ใช้ชิ้นส่วนในประเทศ หรือถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการตั้งโรงงานของจีนให้เกิดกลไกการทำงานร่วมกัน”
ทั้งนี้ จากภาพเศรษฐกิจต้องคุยกับภาครัฐอย่างตรงไปตรงมาว่า วันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจ ความตกต่ำของยานยนต์ที่ต้องการเร่งด่วนเพื่อพลิกฟื้น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การผ่อนปรนมาตรการสินเชื่อสำคัญ ส.อ.ท.เสนอมาตรการทางภาษีสำหรับผู้ซื้อรถทั้งบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเพื่อลดภาระผู้ประกอบการ การชะลอกฏระเบียบบางอย่างเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ เช่น การลดต้นทุนภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน
อีกสิ่งที่สำคัญคือ ขอให้รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นแม้จะในระยะสั้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นดีมานด์และการผลิตได้ ส่วนระยะยาว นโยบายการสนับสนุนต่างๆ อย่างต่อเนื่องยังจำเป็นโดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกการลงทุน การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ยกระดับขีดความวสามารถซัพพลายเชนไปสู่ซัพพลายเชนสมัยใหม่
“จุดแข็งที่สุดที่เราจะยังคงเป็นฮับ คือ นโยบายภาครัฐ อุตสาหกรรมยายนต์ที่เติบโตมาได้คือนโยบาย ซึ่งไทยมองเห็นอีวีก่อนใคร รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมมากขึ้น จะเป็นจุดแข็งดึงดูดนักลงทุน จึงต้องอาศัยความร่วมมือที่จะพลิกฟื้นวิกฤติให้เป็นโอกาส”







