พิธา ชี้ไทยเสี่ยงอยู่ในเรดาร์ภาษีทรัมป์ แนะถอดบทเรียน 'อินเดีย'

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เผยความเสี่ยงของไทยท่ามกลางการกลับมาของทรัมป์ ชี้แนวทางรักษาดุลยภาพระหว่างสหรัฐ-จีน ในเวทีเสวนา “The Future of Thailand: A Fireside Chat with Pita Limjaroenrat” ที่ Harvard Kennedy School
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ไทยกำลังเผชิญท่ามกลางการกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการทูตที่ไทยต้องเผชิญ ในเวทีเสวนา “The Future of Thailand: A Fireside Chat with Pita Limjaroenrat” ซึ่งเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา
นายพิธา กล่าวถึงการที่สหรัฐภายใต้การนำของทรัมป์ได้ลงคะแนนเสียงร่วมกับรัสเซีย จีน และเกาหลีเหนือในสหประชาชาติ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก ที่เขาเรียกว่าอาจเป็น "multipolar nationalism" หรือ "transactional realism" และเป็นการสิ้นสุดของระเบียบโลกแบบเดิมที่เคยมีมาตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ขอบคุณรูปจาก Linkedin ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
อย่างไรก็ตาม เขาชี้ให้เห็นว่าในขณะเดียวกัน มาร์โค รูบิโอ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐก็เป็นผู้ที่เคยผลักดัน “กฎหมายสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์” ในปี 2020 ระหว่างสมัยแรกของทรัมป์ และเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์เมื่อไทยส่งชาวอุยกูร์ 48 คนกลับไปยังจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งขัดต่อหลักการไม่ผลักดันกลับ (non-refoulement) และข้อตกลงระหว่างประเทศหลายฉบับ
ขอบคุณรูปจาก Linkedin ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
สำหรับประเด็นเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยไปสหรัฐ นายพิธาเน้นย้ำถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่ไทยกำลังเผชิญ โดยระบุว่า
- ไทยเป็นประเทศอันดับ 10 ในการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยในสมัยทรัมป์ 1.0 ไทยเกินดุล 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จนถูกขึ้นบัญชีบิดเบือนค่าเงินในปี 2017
- ปัจจุบันไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯเพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจทำให้ไทยถูกกดดันให้ลดการเกินดุล หรืออาจถูกตอบโต้ด้วยมาตรการภาษี
- ในขณะเดียวกัน ไทยขาดดุลการค้ากับจีนถึง 45,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะจากยานยนต์ไฟฟ้าและสินค้าราคาถูกผ่านอีคอมเมิร์ซ
ดังนั้นนายพิธาได้เสนอแนวทางที่รัฐบาลไทยควรดำเนินการ ประกอบด้วย รัฐบาลต้องจัดการกับปัญหาการเกินดุลกับสหรัฐและการขาดดุลกับจีนไปพร้อมกัน ไม่สามารถมองว่าเป็นเพียงการแข่งขันระหว่างจีนกับสหรัฐฯเท่านั้น ต่อมาคือถอดบทเรียนจากอินเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีโมดีแก้ปัญหาการเกินดุลโดยการซื้อก๊าซธรรมชาติจำนวนมากจากสหรัฐ
ขณะเดียวกันไทยควรพิจารณาซื้อสินค้าที่สหรัฐฯมีความเชี่ยวชาญและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนไทย เช่น เครื่องมือทางการแพทย์ เทคโนโลยีด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ และอุปกรณ์ป้องกันประเทศบางอย่าง เพื่อกระจายการพึ่งพาจากจีน
ท้ายที่สุดรัฐบาลควรจัดการกับการขาดดุลกับจีน โดยพิจารณามาตรการควบคุมการนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน โดยเฉพาะยานยนต์ไฟฟ้าและสินค้าราคาถูกผ่านอีคอมเมิร์ซ ตามแบบอย่างของอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ นายพิธาเชื่อว่าประธานาธิบดีทรัมป์จะเน้นความสัมพันธ์แบบทวิภาคีมากกว่าพหุภาคี อาจข้ามอาเซียนและเน้นความสัมพันธ์รายประเทศกับอินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ก่อน โดยไทยอาจอยู่ในลำดับที่ 4 หรือ 5 และอาจถูกมองว่าเป็นประตูหลัง (Back Door of Chinese Goods) ของการผลิตสินค้าจากจีน รวมไปถึงทรัมป์อาจกดดันให้ถอนตัวจากการสมัครเข้าร่วมกลุ่ม BRICS
ท้ายที่สุด เขาทิ้งท้ายในประเด็นสงครามการค้าว่า ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งเคยเป็นอาสาสมัครสันติภาพในไทย เคยให้สัมภาษณ์นิวยอร์กไทมส์ว่าประเทศที่เขาชื่นชอบคือประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นปัจจัยบวกในความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐในอนาคต ดังนั้น หากรัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการความสัมพันธ์ทางการค้ากับทั้งสหรัฐและจีนได้อย่างสมดุล ไทยจะสามารถรักษาความเป็นกลางเชิงยุทธศาสตร์ท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบันได้
อ้างอิง: The Future of Thailand: A Fireside Chat with Pita Limjaroenrat







