ราคาน้ำมันร่วงเป็นวันที่สาม หลุดระดับ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล

ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่สามในวันพุธ นักลงทุนกังวลโอเปกพลัสเพิ่มปริมาณการผลิต และมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
รอยเตอร์ส รายงานตลาดน้ำมันดิบโลกวันพุธ (5 มี.ค.) ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 1.80 ดอลลาร์ หรือ 2.53% สู่ระดับ 69.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต(WTI) ของสหรัฐฯ ลดลง 2.05 ดอลลาร์ หรือ 3% สู่ระดับ 66.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่องเป็นครั้งที่สามในวันพุธ เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับแผนของกลุ่มโอเปกพลัส ( OPEC+) ที่จะเดินหน้าเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือนเมษายน และมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ต่อแคนาดา จีน และเม็กซิโก ทำให้ความตึงเครียดด้านการค้าทวีความรุนแรงขึ้น
โดยราคาน้ำมันปรับขึ้นมาได้บ้าง หลังจากแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปีก่อนหน้านี้ โดยราคาน้ำมันเบรนท์ร่วงลงสู่ระดับ 68.33 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2021 และราคาน้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าแตะระดับ 65.22 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2023
ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากนายฮาวเวิร์ด ลัทนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ กล่าวผ่านทางสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์กว่า ทรัมป์จะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะยกเว้นให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมใดหรือไม่
แหล่งข่าวที่ทราบเรื่องการหารือดังกล่าวกล่าวว่า ขณะที่ลัทนิกกล่าวว่าการจัดเก็บภาษีนำเข้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโกจะยังคงดำเนินต่อไป แต่การผ่อนปรนที่อยู่ระหว่างการพิจารณานี้จะมีการยกเลิกภาษีนำเข้าน้ำมัน 10% จากการนำเข้าพลังงานของแคนาดา เช่น น้ำมันดิบและน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นไปตามกฎแหล่งกำเนิดสินค้าภายใต้ข้อตกลงสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา
ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) กล่าวว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดไว้ในสัปดาห์ที่แล้ว เนื่องมาจากการซ่อมบำรุงโรงกลั่นตามฤดูกาล ขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นลดลงเนื่องจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น
EIA กล่าวว่าปริมาณสำรองน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 3.6 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 433.8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์นี้ ซึ่งเกินความคาดหมายของนักวิเคราะห์ในการสำรวจของรอยเตอร์สที่ระบุว่าจะเพิ่มขึ้น 341,000 บาร์เรล
ราคาน้ำมันเบรนท์ลดลงมากกว่า 2 ดอลลาร์หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูล
“การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก ทำให้เกิดการตอบโต้อย่างรวดเร็วจากแต่ละประเทศ ก่อให้เกิดความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลกระทบต่อความต้องการพลังงาน” แอชลีย์ เคลตี้ นักวิเคราะห์จาก Panmure Liberum กล่าว
แคนาดาและจีนตอบโต้ทันทีต่อภาษีนำเข้าของทรัมป์เมื่อวันอังคาร และคลอเดีย ไชน์บาว์ม ประธานาธิบดีเม็กซิโกกล่าวว่าประเทศจะตอบโต้โดยไม่ให้รายละเอียด
นักวิเคราะห์ของธนาคาร JP Morgan กล่าวว่าการชะลอตัวของอัตราการเติบโตของ GDP ของสหรัฐฯลง 1% อาจทำให้การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกลดลง 180,000 บาร์เรลต่อวัน นักวิเคราะห์กล่าวในบันทึก
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และพันธมิตร รวมทั้งรัสเซีย ตัดสินใจเมื่อวันจันทร์ที่จะเพิ่มการผลิตเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 ซึ่งกดดันราคาน้ำมันดิบ
คาดโอกเปกพลัสไม่ล้มเลิกแผนลดการผลิตทั้งหมด
กลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มการผลิตเพียงเล็กน้อย 138,000 บาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของแผนเพิ่มการผลิตรายเดือน เพื่อยุติการลดการผลิตเกือบ 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นเกือบ 6% ของอุปสงค์ทั่วโลก
“ตลาดมีความกังวลเล็กน้อยว่าการตัดสินใจของกลุ่มโอเปกพลัส จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มการผลิตรายเดือนอีกหลายรอบ แต่แถลงการณ์ของกลุ่มโอเปกพลัส ย้ำแนวทางในการเพิ่มการผลิตอีกรอบ ก็ต่อเมื่อตลาดสามารถดูดซับปริมาณการผลิตได้เท่านั้น” จิโอวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์จากธนาคาร UBS กล่าว
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley Research กล่าวว่าเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปกพลัส จะปรับเพิ่มการผลิตเพียงไม่กี่ครั้ง แทนที่จะยกเลิกการลดการผลิตทั้งหมด
นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังกล่าวเมื่อวันอังคารว่า จะยุติใบอนุญาตที่วอชิงตันมอบให้กับเชฟรอนซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ ที่ได้รับใบอนุญาตตั้งแต่ปี 2022 เพื่อดำเนินการในเวเนซุเอลาและส่งออกน้ำมัน
นักกลยุทธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคาร ING ระบุในบันทึกเมื่อวันพุธว่า การตัดสินใจดังกล่าวทำให้อุปทานน้ำมัน 200,000 บาร์เรลต่อวันตกอยู่ในความเสี่ยง
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ของ JP Morgan กล่าวว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในเดือนที่แล้วอยู่ที่ 103.6 ล้านบาร์เรลต่อวันโดยเฉลี่ย ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเทียบเป็นรายปี แต่ยังต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนดังกล่าว






