ปรับภูมิทัศน์ตลาดทุนด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (2)

แม้การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะ “ตอบโจทย์” คดีใหญ่ๆ ที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างต่อนักลงทุนในตลาดทุนได้ (รายละเอียดในบทความที่แล้ว ปรับภูมิทัศน์ตลาดทุนด้วยการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (1)) แต่กระนั้นการดำเนินคดีแบบกลุ่มยังมีอุปสรรคอยู่ โดยจากการศึกษาของทีดีอาร์ไอ พบว่า มีอุปสรรคหลายประการที่ทำให้กลไกการดำเนินคดีแบบกลุ่มยังไม่ถูกใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่สามารถพัฒนากลไกต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินคดีแบบกลุ่มมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ดังนี้
๐ องค์กรช่วยเหลือในการดำเนินคดี
การมีองค์กรซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และมีหน้าที่ในการเฝ้าระวังประเด็นที่เกี่ยวข้อง มีทรัพยากรในการจัดการ อาทิ การรวบรวมผู้เสียหาย การติดต่อทนายความ การเตรียมเอกสารนั้น มีส่วนช่วยในการดำเนินคดีแบบกลุ่มอย่างสูง โดยองค์กรดังกล่าวอาจจัดตั้งโดยกฎหมาย หรือเป็นองค์กรเอกชนซึ่งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องให้การรับรองก็ได้ เช่น สภาองค์กรของผู้บริโภคซึ่งจัดตั้งโดย พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 องค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถดำเนินคดีแทนผู้เสียหายในคดีสิ่งแวดล้อมได้ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งยังกำหนดให้ผู้ที่จะดำเนินคดีแบบกลุ่มได้นั้น ต้องเป็นโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายเท่านั้น หากมีการแก้ไขให้องค์กรซึ่งมีอำนาจดำเนินคดีแทนผู้เสียหายตามกฎหมายอื่นสามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ จะยิ่งทำให้เกิดความสะดวกในการดำเนินคดีมากขึ้น ดังเช่นใน อิตาลี ฝรั่งเศส ที่มีองค์กรในลักษณะดังกล่าวซึ่งสามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้เช่นกัน
ขณะเดียวกันในไทยเองก็มีคดีบางประเภทที่มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มมาก คือ คดีผู้บริโภค และคดีสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมีองค์กรซึ่งเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและเฝ้าระวังประเด็นเฉพาะ และมีหน่วยงานกำกับดูแลให้การรับรอง ดังนั้น หากมีการเปิดช่องไว้ในกฎหมายให้สามารถตั้งองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองผู้ลงทุน โดยมีหน่วยงานกำกับดูแลย่อมจะเป็นการสร้างความเชี่ยวชาญและกลไกสำคัญในการดำเนินคดีหลักทรัพย์แบบกลุ่มอีกด้วย
๐ แรงจูงใจของทนายความในการทำคดีแบบกลุ่ม
ในคดีแบบกลุ่ม กฎหมายกำหนดให้มี “เงินรางวัลทนายความ” ซึ่งเป็นค่าตอบแทนที่คิดจากผลแพ้ชนะคดี กล่าวคือ หากทนายความว่าความให้กับผู้เสียหายและชนะคดี ก็จะได้รับค่าตอบแทนไม่เกินร้อยละ 30 จากจำนวนเงินที่ผู้เสียหายจะได้รับ เพื่อจูงใจให้ทนายความรับทำงานในคดีแบบกลุ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินรางวัลดังกล่าวผู้พิพากษาจะเป็นผู้กำหนดโดยพิจารณาจากรูปคดี และการทำงานของทนายความหลังจากที่ทราบผลชนะคดีแล้ว ทำให้ทนายความไม่สามารถทราบเงินรางวัลของตนเองได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มคดี แรงจูงใจดังกล่าวจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ทั้งนี้ เนื่องจากการคิดเงินรางวัลจากผลแพ้ชนะคดียังไม่เป็นที่ยอมรับในประเทศไทย (และในอีกหลายประเทศ) ทำให้การกำหนดกลไกดังกล่าวไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ จึงไม่อาจสร้างแรงจูงใจให้ทนายความหันมาทำคดีแบบกลุ่มได้
ในทางตรงกันข้าม กลไกเงินรางวัลทนายความในต่างประเทศ (contingent fee) จะเป็นการตกลงกันระหว่างทนายความและลูกความ ทำให้ทนายความทราบถึงเงินรางวัลที่ตนจะได้รับหากชนะคดี ซึ่งทำให้เกิดแรงจูงใจได้มากกว่า ดังนั้น หากจะมีการสร้างแรงจูงใจให้ทนายความทำคดีแบบกลุ่มมากขึ้น ต้องมีการออกแบบกลไกที่เหมาะสมกับประเทศไทยและเป็นที่ยอมรับจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาทนายความและองค์กรในกระบวนการยุติธรรม การสร้างแรงจูงใจดังกล่าวจึงจะสัมฤทธิผล
๐ กระบวนการทางศาล
การจะดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้นต้องร้องขอต่อศาล โดยศาลจะทำการไต่สวนว่าคดีดังกล่าวควรรับเป็นการดำเนินคดีแบบกลุ่มหรือไม่ โดยทนายความที่มีประสบการณ์ในการทำคดีแบบกลุ่มให้ข้อมูลว่า กระบวนการไต่สวนคำร้องนี้ใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน และมีการไต่สวนไปถึงเนื้อหาของคดีเนื่องจากฝ่ายผู้ถูกฟ้องยกขึ้นมาเป็นประเด็น
อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติของกฎหมายไทยได้ระบุหลักเกณฑ์ที่ต้องทำการไต่สวนไว้ครบถ้วนแล้ว และหลักเกณฑ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับโจทก์เพียงฝ่ายเดียว รวมถึงจากการศึกษาการดำเนินคดีแบบกลุ่มในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา พบว่าการอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้น ศาลสามารถพิจารณาจากคำร้องขอและมีคำสั่งอนุญาต หรือไม่อนุญาตได้โดยไม่ต้องมีการไต่สวน เนื่องจากหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้มีความชัดเจนและเป็นเรื่องเฉพาะของฝ่ายโจทก์เท่านั้น หากศาลมีข้อสงสัย ศาลจะซักถามจากโจทก์เพียงฝ่ายเดียว
ดังนั้น ไทยอาจจะพิจารณาให้การดำเนินคดีแบบกลุ่มไม่ต้องมีการไต่สวน หรือมีการไต่สวนแต่ไม่จำเป็นต้องเรียกฝ่ายจำเลยเข้ามา เนื่องจากเนื้อหาที่ไต่สวนเป็นเรื่องเฉพาะของฝ่ายโจทก์อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้กระบวนการดังกล่าวใช้ระยะเวลาน้อยลงมาก โดยจำเลยยังสามารถใช้สิทธิต่อสู้ในเนื้อหาทางคดีของตนได้ตามปกติ
๐ กลไกสนับสนุนอื่น ๆ
กลไกสนับสนุนการดำเนินคดีแบบกลุ่มยังมีในรูปแบบอื่นทั้งที่เป็นตัวเงิน และไม่เป็นตัวเงินด้วย โดยรูปแบบที่เป็นตัวเงิน เช่น การสนับสนุนทางการเงินโดยบุคคลภายนอกคดี (third party funding litigation) และรูปแบบที่ไม่เป็นตัวเงิน เช่น การบริการสังคมโดยทนายความ (pro bono) ซึ่งเป็นการกำหนดให้ทนายความหรือสำนักงานกฎหมายทำคดีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ รวมทั้งกลไกสำคัญที่กำหนดไว้ในกฎหมายอย่างเจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่ม ซึ่งมีหน้าที่อำนวยการและสนับสนุนการทำงานของศาล แต่ในปัจจุบันยังไม่ได้สนับสนุนกลไกนี้อย่างเต็มที่
กล่าวโดยสรุปคือ แม้ว่าประเทศไทยจะมีการดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้ว แต่ยังมีช่องว่างที่จะสามารถพัฒนากลไกต่างๆ เพื่อให้คดีที่มีผู้เสียหายเป็นวงกว้างสามารถเข้าสู่ศาล และอำนวยการให้เกิดการเยียวยาความเสียหายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยอาศัยการออกแบบกลไกสนับสนุนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งการเปิดให้มีองค์กรซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้เข้ามาดำเนินคดีแทนผู้เสียหาย การกำหนดแรงจูงใจของทนายความที่เหมาะสม การสนับสนุนด้านการเงิน การจัดการ และด้านความช่วยเหลือทางกฎหมาย ตลอดจนการปรับกระบวนการทางศาลให้มีความกระชับเท่าที่จำเป็นและเป็นธรรมต่อคู่ความ เพื่อให้การดำเนินคดีแบบกลุ่มได้ตอบโจทย์ในการทำหน้าที่เป็นกลไกรักษาสิทธิของประชาชนได้อย่างแท้จริง
บทวิเคราะห์นี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดบทความ “โครงการกิโยตินกฎระเบียบตลาดทุน” โดยทีดีอาร์ไอและกองทุนส่งเสริม การพัฒนาตลาดทุน (CMDF)