ราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน วิตกซัพพลายเพิ่ม

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน วิตกซัพพลายเพิ่ม

ราคาน้ำมันดิลเบรนท์แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน จากการเพิ่มปริมาณการผลิตของโอเปกพลัส ภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และการที่สหรัฐระงับการช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนทั้งหมด

รอยเตอร์ส รายงานภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกวันอังคาร (4 มี.ค.) ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้าปิดตลาดลดลง 58 เซ็นต์ หรือ 0.8% แตะที่ 71.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบวันอยู่ที่ 69.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ของสหรัฐฯ ลดลง 11 เซ็นต์ต่อบาร์เรล หรือ 0.2% แตะที่ 68.26 ดอลลาร์ โดยก่อนหน้านี้ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงร่วงลงมาอยู่ที่ 66.77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน

ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนในวันอังคาร หลังจากมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกพลัส มีแผนจะเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือนเมษายน ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงถูกกดดันจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน รวมถึงมาตรการขึ้นภาษีตอบโต้ของปักกิ่ง

“แนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลงในปัจจุบันนั้น ขับเคลื่อนโดยหลักจากการตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส และมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ” ดาร์เรน ลิม นักกลยุทธ์ด้านสินค้าโภคภัณฑ์ของโบรกเกอร์ Phillip Novaกล่าว

เขากล่าวว่าอีกปัจจัยหนึ่งคือการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะระงับความช่วยเหลือทางทหารของสหรัฐฯ แก่ยูเครนทั้งหมด หลังจากที่เขาโต้เถียงอย่างดุเดือดกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีที่ทำเนียบขาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

โอเปกพลัส ซึ่งประกอบด้วยองค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) และพันธมิตร รวมถึงรัสเซีย ตัดสินใจเมื่อวันจันทร์ที่จะดำเนินการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันในเดือนเมษายนตามแผน 138,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022

บียาร์เน ชีลดรอปหัวหน้านักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของธนาคาร SEB กล่าวว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด

“การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของโอเปกดูเหมือนว่าพวกเขากำลังให้ความสำคัญกับการเมืองมากกว่าราคาน้ำมัน ประเด็นการเมืองนี้น่าจะเชื่อมโยงกับการตกลงกับโดนัลด์ ทรัมป์”  ชีลดรอป กล่าวโดยอ้างถึงการเรียกร้องของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ลดราคาน้ำมัน

สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% มีผลบังคับใช้เมื่อเวลา 00:01 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกของสหรัฐ (05.01 GMT) ในวันอังคาร โดยขึ้นภาษีสินค้าพลังงานของแคนาดา 10% ขณะที่ภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20%

นักวิเคราะห์คาดว่าภาษีดังกล่าวจะจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความต้องการพลังงาน ซึ่งส่งผลต่อราคาน้ำมัน

เมื่อสหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการขึ้นภาษีในวันอังคาร จีนก็ตอบโต้กลับอย่างรวดเร็ว โดยประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ 10-15% ขณะเดียวกันก็จำกัดการส่งออกและการลงทุนของบริษัทสหรัฐฯ 25 แห่ง

“แม้ว่าภาษีที่ทรัมป์เรียกเก็บจากแคนาดาและเม็กซิโก โดยเฉพาะภาษีนำเข้าน้ำมันดิบจากแคนาดา 10% มีผลบังคับใช้แล้ว แต่ผลกระทบต่อดุลยภาพของตลาดน้ำมันยังคงไม่ชัดเจน” นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน Ritterbusch and Associates กล่าว

แรงกดดันต่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาจากการที่ทรัมป์ระงับให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครน การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ทำเนียบขาวได้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังร่างรายชื่อมาตรการคว่ำบาตรที่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ อาจผ่อนปรนลงได้ระหว่างการเจรจากับรัสเซีย

แนวโน้มที่ว่าการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอาจทำให้มีน้ำมันจากรัสเซียเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเพิ่มแรงกดดันต่อราคามากขึ้น แต่เมื่อวันจันทร์ นักวิเคราะห์ของธนาคารโกลด์แมน แซคส์กล่าวว่า การส่งออกน้ำมันของรัสเซียถูกจำกัดโดยเป้าหมายการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส มากกว่ามาตรการคว่ำบาตร

ธนาคารยังกล่าวอีกว่าอุปทานน้ำมันดิบที่สูงเกินคาดและความต้องการที่ลดลงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงและการปรับขึ้นภาษีศุลกากรทำให้การคาดการณ์ราคาน้ำมันมีความเสี่ยงด้านลบ

จอช คัลลาฮานหัวหน้าฝ่ายอนุพันธ์น้ำมันดิบของบริษัทโบรกเกอร์ Arrow Energy Markets กล่าวว่า อุปสงค์ของจีนก็ลดลงเช่นกัน โดยโรงกลั่นจะต้องปิดตัวลงเพื่อซ่อมแซมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

รัฐบาลทรัมป์กล่าวเมื่อวันอังคารว่า จะถอนใบอนุญาตที่สหรัฐฯ มอบให้กับบริษัทผู้ผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ อย่างเชฟรอน ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อดำเนินการในเวเนซุเอลาและส่งออกน้ำมัน หลังจากที่วอชิงตันกล่าวหาประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ว่าไม่มีความคืบหน้าในการปฏิรูปการเลือกตั้งและการส่งตัวผู้อพยพกลับประเทศ