ผ่าแผนลงทุนโรงไฟฟ้า SMR โจทย์ร้อนนำร่องนิวเคลียร์ขนาดเล็ก 600 เมก

เปิดแผนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR รัฐบาลเดินหน้าสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ร่าง PDP2024 บรรจุ 600 เมกะวัตต์ ปี 2580 กฟผ. และเอกชน เร่งศึกษาตอบโจทย์โลกร้อน
KEY
POINTS
- ภาครัฐมีนโยบายบรรจุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก SMR ในร่างแผน PDP2024 ปี 2580 ไว้ที่ 600 เมกะวัตต์ เพื่อสนับสนุนในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
- กฟผ. ประเมินโรงไฟฟ้า SMR ที่จะเข้าระบบปี 2580 จะต้องเริ่มก่อสร้างภายในปี 2574 โดย กฟผ.เตรียมการเบื้องต้นทั้งการคัดเลือกสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และรวบรวมข้อมูลจากที่เคยทำเมื่อปี 2554
- ข้อดีของ SMR จะเป็นโรงไฟฟ้าฐานที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และใช้เดินเครื่องร่วมกับพลังงานหมุนเวียนได้ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จากการที่เทรนด์โลกมุ่งเป้าการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดโลกร้อน ภาคส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนคือภาคการผลิตไฟฟ้าที่ยังใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสัดส่วนสูงและราคาเชื้อเพลิงมีความผันผวน ดังนั้น ภาครัฐจึงมีนโยบายบรรจุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2567-2580 (PDP2024)
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รายงานว่าร่าง PDP2024 กำหนดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในปี 2580 ไว้ที่ 112,391 เมกะวัตต์ เป็นการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล 30,498 เมกะวัตต์, พลังงานหมุนเวียน 64,977 เมกะวัตต์ จากพลังงานและอาทิตย์ พลังงานลมและอื่นๆ
รวมทั้งกำหนดเชื้อเพลิงประเภทอื่นๆ 16,916 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ SMR , แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานและพลังานน้ำแบบสูบกลับ
ในขณะที่หลายประเทศมีแผนเปิดดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก โดยในปี 2569 จีนและรัสเซียมีแผนเปิดโรงไฟฟ้าชนิดดังกล่าว ซึ่งจีนเคยเปิดมาแล้วเมื่อปี 2567 รวมทั้งในปี 2571 สหรัฐมีแผนเปิดโรงไฟฟ้าประเภทนี้เช่นเดียวกัน
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการ สนพ.กล่าวว่า ร่างแผน PDP2024 จะประกาศใช้พร้อมภายในปี 2568 ได้บรรจุโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก 2 แห่ง กำลังผลิตไฟฟ้าแห่งละ 300 เมกะวัตต์ รวม 600 เมกะวัตต์ ในปลายแผนหรือปี 2580
ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เพราะเป็นพลังงานสะอาดและผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง โดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
นอกจากนี้ ที่ผ่านมากระทรวงพลังงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ศึกษาเทคโนโลยี SMR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ที่พูดคุยกันมานาน เพราะเครื่องปฏิกรณ์แบบแยกส่วนขนาดเล็กเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิชชันที่มีขนาดเล็กกว่าเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบทั่วไป ออกแบบโดยคำนึงถึงความเป็นรูปแบบโมดูลสำเร็จรูป
อีกทั้งมีกำลังไฟฟ้าสูงสุด 100-300 เมกะวัตต์ หรือกำลังไฟฟ้าความร้อนที่ส่งออกน้อยกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ถือ 1 ใน 3 ของกำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบปกติ ซึ่งการเลือกใช้เทคโนโลยี SMR ประหยัดงบประมาณการก่อสร้าง ติดตั้งง่าย ปลอดภัยสูง สามารถติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งภายหลังการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับ SMR ยังไม่พบข้อขัดแย้ง
กฟผ.คาดอีก 5 ปีพร้อมก่อสร้าง
รายงานข่าวระบุว่า กฟผ.มีการประเมินโรงไฟฟ้า SMR ที่จะเข้าระบบปี 2580 จะต้องเริ่มก่อสร้างภายในปี 2574 โดย กฟผ.เตรียมการเบื้องต้นทั้งการคัดเลือกสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และรวบรวมข้อมูลจากที่เคยทำเมื่อปี 2554 มาปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นการเลือกพื้นที่ที่มีศักยภาพ การสรรหาเทคโนโลยีที่เป็นไปได้ รวมถึงการให้การให้ความรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่ต้องร่วมมือจากทุกหน่วยงาน
ทั้งนี้ ไทยเคยมีแนวคิดในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มานานกว่า 30 ปี โดย กฟผ.ได้เตรียมบุคลากรมาตลอดทั้งการจัดหลักสูตรอบรมทางด้านนิวเคลียร์ ร่วมงานวิจัยกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการและสัมมนากับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA)
ขณะที่การคัดเลือกสถานที่ตั้งได้ใช้ข้อกำหนดของ IAEA ที่กำหนดเกณฑ์เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้มีศักยภาพ ซึ่งพิจารณาจากปริมาณการใช้ไฟฟ้า ความปลอดภัย สายส่งไฟฟ้าแรงสูงและการจัดหาแหล่งนํ้า
สำหรับข้อดีของ SMR จะเป็นโรงไฟฟ้าฐานที่เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และใช้เดินเครื่องร่วมกับพลังงานหมุนเวียนได้ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
อีกทั้ง ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าแข่งขันเชื้อเพลิงอื่นได้เพราะใช้เชื้อเพลิงน้อย ซึ่งยูเรเนียม 1 กิโลกรัม ผลิตไฟฟ้าได้เท่ากับถ่านหิน 100,000 กิโลกรัม หรือก๊าซธรรมชาติ 50,000 กิโลกรัม โดยโรงไฟฟ้า SMR ขนาด 300 เมกะวัตต์ ใช้แร่ยูเรเนียม 12 ตันต่อปี ขณะที่แร่ยูเรเนียมมีอยู่มากและซื้อได้จากหลายแหล่งไม่ผูกขาดเหมือนก๊าซธรรมชาติหรือนํ้ามัน รวมถึงราคาเชื้อเพลิงค่อนข้างคงที่
นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด บริษัทลูกของ กฟผ.กล่าวว่า อินโนพาวเวอร์ ได้ศึกษาเทคโนโลยี SMR มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทั้งเทคโนโลยีจากยุโรป สหรัฐและจีน
ทั้งนี้หาก กฟผ.จะดำเนินการก็พร้อมจะเข้าไปร่วมสนับสนุน โดยเงินลงทุนเบื้องต้นขนาดเล็กเบื้องต้นจะอยู่ระดับ 2,000-3,000 ล้านบาท
GPSC ศึกษา SMR กับเดนมาร์ก
ในช่วงที่ผ่านในบริษัทเอกชนหลายแห่งได้ประกาศศึกษาการลงทุน SMR เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจมากขึ้น
นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.จะเข้ามามีบทบาทในการผลักดันการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลายทั้งไฮโดรเจนและ SMR ซึ่งร่างแผน PDP 2024 กำหนดสัดส่วนการใช้ไฮโดรเจน 5% ผสมในเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ
นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท.เปิดเผยว่า มีแผนการลงทุนด้านนวัตกรรม New S-curves ในหลายรูปแบบ รองรับการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจพลังงานและธุรกิจไฟฟ้าในอนาคต
ทั้งนี้ เมื่อปี 2567 GPSC จับมือ Seaborg Technologies ApS จากเดนมาร์ก ร่วมศึกษาการพัฒนาพลังงานสะอาดด้วยเทคโนโลยี SMR คาดศึกษาความเป็นไปได้ภายใน 4 ปี ครอบคลุมด้านเทคโนโลยี ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม กฎหมาย ปัจจัยความเสี่ยง การตลาด และการพัฒนาธุรกิจ รวมถึงแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และความเหมาะสมที่ตั้งและขนาดหน่วยผลิตไฟฟ้า 200-800 เมกะวัตต์
WHA เล็ง 300 เมกะวัตต์ในนิคมฯ
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า WHA Group อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve โดยเฉพาะ SMR พบว่า SMR Gen4 ผลิตไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมได้แล้ว จึงคิดว่าน่าจะนำมาใช้ในนิคมของ WHA เพื่อกระจายไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับโรงงาน
ทั้งนี้ มั่นใจว่าอีก 5 ปีข้างหน้า SMR จะเริ่มเข้าสู่ตลาดเพื่อการพาณิชย์ได้ ส่วนนิคมอุตสาหกรรมที่จะนำ SMR ไปติดตั้งต้องมีการใช้พลังงานปริมาณสูง ซึ่ง WHA มีนิคมอุตสาหกรรม 15 แห่ง พื้นที่รวม 7000 ไร่ ซึ่งใช้พลังงานปริมาณมาก
รวมทั้งตั้งเป้าว่าจะเริ่มจากนิคมที่ต้องการใช้พลังงานมากก่อน โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ ที่เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เพราะต้องการพลังงานสะอาด ส่วนเรื่องราคาขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประเมิน
“คิดว่าถ้าราคาได้ก็พร้อมลงทุน เนื่องจากมีทั้งลูกค้าและเงินทุน ตอนนี้พร้อมทุกอย่างเพียงแค่รอเทคโนโลยี ซึ่งเชื่อว่าอีก 5 ปีข้างหน้าต้นทุน SMR จะถูกลง เบื้องต้นกำลังผลิตจะอยู่ที่ 300 เมกะวัตต์ต่อ 1 นิคมฯ ซึ่งไม่รวมลูกค้าดาต้าเซ็นเตอร์ เพราะต่อ 1 ดาต้าเซ็นเตอร์ ใช้ไฟระดับ 300-400 เมกะวัตต์"
ทั้งนี้ภาครัฐต้องกฎกติการที่ชัดเจนก่อน ซึ่งขณะนี้ WHA ได้หารือการนิคมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม และคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกระทรวงพลังงาน เพื่อการโจทย์ความต้องการพลังงานสะอาดที่นักลงทุนต่างชาติสนใจ โดยถ้าตอบจทย์ก็ต้องเร่งวางแผน เพราะเป็นเรื่องระยะยาวและเป็นไฟฟ้าสะอาดมีความเสถียร
“บางจาก”เร่งศึกษารองรับการใช้งาน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยการทำงานต้องแลกด้วยพลังงานมหาศาลที่ส่งผลต่อทรัพยากรโลก เช่น น้ำและพลังงาน ทำให้ต้องพึ่งพลังงานก๊าซธรรมชาติมากขึ้น รวมถึงโรงไฟฟ้า SMR ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือก
นอกจากนี้ ทั่วโลกต่างกำลังหันกลับไปมองพลังงานนิวเคลียร์อีกครั้ง ซึ่งไทยควรศึกษาเช่นเดียวกัน และเมื่อท้ายที่สุดแล้วการใช้ดาต้าในปริมาณที่สูงจะทำให้ทุกประเทศเจอปัญหาพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น กลุ่มบางจาก โดย บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจ
“ราชกรุ๊ป-สหพัฒน์”หวังเสิร์ฟไฟสะอาด
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราช กรุ๊ป และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ลงนามความร่วมมือศึกษาเทคโนโลยี SMR เพื่อสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงสะอาด และตอบสนองความต้องการพลังงานไฟฟ้าสีเขียวของภาคอุตสาหกรรม
สำหรับเชื้อเพลิงที่ใช้กับเทคโนโลยี SMR ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลิตไฟฟ้าได้ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้ระบบไฟฟ้ามั่นคงมากขึ้น ส่งผลดีต่อเนื่องถึงทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคอุตสาหกรรมได้ใช้ไฟฟ้าสะอาด
“บ้านปู-บาฟส์”มอง SMR ในไทยอีกนาน
นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยว่า ในส่วนของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์นั้น บ้านปูเองก็ได้ศึกษาอยู่เหมือนกัน แต่ต้องใช้เวลาศึกษาระยะยาว ซึ่งปัจจุบันทราบว่า กฟผ.เองก็เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาและเป็นผู้นำในเรื่องนี้ก่อน
ดังนั้น บ้านปูเองก็อาจจะยังไม่เข้าไปในความเสี่ยงตรงนั้น แต่ถ้าถึงเวลาที่รัฐบาลไฟเขียวให้เอกชนลงทุนก็อาจจะเข้าไปดำเนินธุรกิจในลักษณะพันธมิตรก็ได้ จึงถือเป็นเรื่องของอนาคต
ม.ล.ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวว่า กลุ่มบาฟส์ได้ศึกษา SMR ไว้และมองว่าหากจะเกิดในประเทศไทยจะต้องใช้เวลาอีกนาน แม้จะเป็น SMR แต่ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่
ดังนั้นโครงการที่เป็นนิวเคลียร์จะต้องเกิดจะคำนึงถึง 3 ปัจจัย ประกอบด้วย 1.พื้นที่ที่ค่อนข้างห่างไกลชุมชน 2.การใช้พลังงานสูง 3. การเข้าถึงแหล่งแร่ยูเรเนียม
“กลุ่มบาฟส์มองการลงทุนที่มองโกเลีย ซึ่งขณะนี้มองโกเลียมีโรงงานแปรรูปแร่ยูเรเนียม ผ่านบริษัท ฝรั่งเศส จะเกิดง่ายกว่าไทย อีกทั้งในไทยต้องมีทุนทางการเมืองและงบประมาณแกร่งมากพอที่จะดันโครงการให้เกิดได้จึงมองว่าในไทยอาจไม่ใช่ช่วงระยะสั้นนี้”







