ส่อง 3 โปรเจกต์ลงทุน EEC รถไฟ - สนามบิน – ศูนย์ซ่อม สร้างปี 68

สำนักงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ประกาศมั่นใจปีนี้ดันลงทุน 3 โครงสร้างพื้นฐานใน EEC ตอกเสาเข็มไฮสปีด - สนามบิน - ศูนย์ซ่อมอากาศยาน ดันเปิดบริการพร้อมกันปี 2572
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยระบุว่า ปัจจุบัน สกพอ.อยู่ระหว่างผลักดันการก่อสร้าง 3 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งเป้าจะเริ่มก่อสร้างให้ได้ในปีนี้ และเปิดให้บริการพร้อมกันในปี 2572
“ตอนนี้ สกพอ.เจรจากับเอกชนคู่สัญญาโครงการเมืองการบิน เพื่อเตรียมเริ่มงานก่อสร้างโครงการโดยไม่ต้องรอการแก้ไขสัญญาของโครงการไฮสปีด เพราะได้เจรจาทางออกร่วมกันกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งจะเข้ามารับผิดชอบค่าใช้จ่ายงานอุโมงค์ไฮสปีดที่อยู่ใต้อาคารผู้โดยสารสนามบินอู่ตะเภาแทนเอกชนไปก่อน ดังนั้นจะทำให้โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินสามารถเริ่มก่อสร้างได้ทันทีในปีนี้”
ขณะที่โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ทราบว่าปัจจุบันการรถไฟฯ อยู่ระหว่างร่างสัญญาฉบับใหม่ที่มีการปรับแก้จากการเจรจาผลกระทบโควิด และสงครามรัสเซีย - ยูเครน ซึ่งทราบว่ามีการปรับแก้ใกล้แล้วเสร็จ เตรียมเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ พิจารณาก่อนส่งไปยังอัยการสูงสุดตรวจสอบ และนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงคาดว่าจะลงนามสัญญาใหม่ พร้อมก่อสร้างได้ในปีนี้
ส่วนอีกหนึ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีความชัดเจนและจะเริ่มเห็นการลงทุนในปีนี้ คือ โครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) อู่ตะเภา ปัจจุบัน สกพอ.ได้เสนอเพื่อรอบรรจุวาระเข้าสู่ ครม. พิจารณาอนุมัติปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนิน โดยให้ยกเลิกการเป็นโครงการร่วมลงทุนตามที่ ครม. อนุมัติไว้ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2561
และดำเนินการจัดหาผู้เช่าที่ดินราชพัสดุในเขตส่งเสริม : เมืองการบินภาคตะวันออก (EECa) เพื่อดำเนินกิจกรรมศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 และระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข การเช่าที่ดินราชพัสดุที่ประกาศเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. 2562 ต่อไป
โดยโครงการ MRO จะมีการยกเลิกมติ ครม.เดิมที่มอบให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินโครงการ ปรับเป็นนำโครงการมาเปิดกว้างให้เอกชนยื่นข้อเสนอ แต่เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ สกพอ.จะพิจารณาข้อเสนอด้านการลงทุนของผู้ประกอบการไทยก่อน เนื่องจากปัจจุบันก็พบว่าผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพ โดยเฉพาะการบินไทยก็มีประสบการณ์และยังมีความต้องการลงทุนโครงการนี้ เพื่อรองรับต่อการขยายตัวของฝูงบินด้วย
อย่างไรก็ดี สกพอ.มีเป้าหมายจะเร่งรัดดำเนินโครงการ MRO ให้เริ่มลงทุนก่อสร้างทันทีในปีนี้ หาก ครม.มีมติเห็นชอบปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนแล้ว ก็คาดว่าจะสามารถเปิดให้เอกชนยื่นข้อเสนอได้ทันที และทราบว่าทางการบินไทยเตรียมพร้อมร่วมทุนกับพันธมิตรสายการบินบางกอกแอร์เวย์สเพื่อลงทุนโครงการนี้ ก็เชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีความพร้อมดำเนินโครงการทันที และใช้เวลาก่อสร้างราว 3 – 4 ปี แล้วเสร็จเปิดบริการพร้อมกันสนามบินอู่ตะเภาในปี 2572
สำหรับรายละเอียด 3 โครงการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC ประกอบด้วย
โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
มูลค่าการลงทุน 271,766 ล้านบาท
เชื่อมต่อ 3 สนามบินด้วย 9 สถานี ผ่าน 5 จังหวัด
ระยะทางรวม 220 กิโลเมตร
ความเร็วรถไฟสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ระยะเวลาเดินทางไม่เกิน 60 นาที
สถานะโครงการ
- อยู่ระหว่างปรับแก้สัญญาร่วมทุน จากผลกระทบโควิด
- การรถไฟแห่งประเทศไทยพร้อมส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง 100%
เปิดให้บริการปี 2572
โครงการสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
มูลค่าการลงทุน 218,701 ล้านบาท
เพิ่มความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเป็น 60 ล้านคนต่อปี
ขยายพื้นที่อาคารผู้โดยสาร
พัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าภาคพื้น
อาคารขนส่งสินค้าทางอากาศ
เขตปลอดอากร
เมืองการบินภาคตะวันออก
สถานะโครงการ
- จัดจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างทางวิ่งที่ 2 และทางขับ
- เตรียมติดตั้งระบบสาธารณูปโภค
- เตรียมก่อสร้างหอบังคับการบินแห่งใหม่
- ส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนเริ่มก่อสร้างเมืองการบิน
เปิดให้บริการปี 2572
ศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา
มูลค่าการลงทุน 10,000 ล้านบาท
การซ่อมใหญ่อากาศยาน (Heavy Maintenance)
- รองรับอากาศยานลำตัวกว้างได้พร้อมกัน 3 ลำ
- รองรับอากาศยานลำตัวกว้างได้ 110 ลำต่อปี
- รองรับอากาศยานลำตัวแคบ 130 ลำต่อปี
การซ่อมบำรุงระดับลานจอด (Line Maintenance)
- รองรับอากาศยานลำตัวกว้างและแคบได้ 70 เที่ยวบินต่อวัน
การพ่นสีอากาศยานทั้งลำตัวแคบและลำตัวกว้าง
- รองรับอากาศยานได้ราว 22 ลำต่อปี
พัฒนาโรงซ่อมอากาศยานอัจฉริยะ (Smart-hanger)
เป้าหมายสร้างรายได้ในปีแรกอยู่ที่ 400-500 ล้านบาท
มีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยอีกปีละ 2%
ในช่วง 50 ปีจะมีรายได้รวม 2 แสนล้านบาท
สถานะโครงการ สกพอ.อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อเปิดประมูลโครงการ
เปิดให้บริการปี 2572







