สรท.หวั่นรัฐบาลล่าช้า เตรียมแผนเจรจาสหรัฐ ฉุดส่งออกตลาดหลัก

สรท.หวั่นรัฐบาลล่าช้า เตรียมแผนเจรจาสหรัฐ ฉุดส่งออกตลาดหลัก

สรท. จี้รัฐเร่งกำหนดยุทธศาสตร์ Single Trade Policy เจรจา “ทรัมป์” หลังยังไม่เห็นความชัดเจน หวั่นล่าช้า ไม่ทันการณ์ ทำส่งออกไปสหรัฐดิ่ง แนะรัฐคิดให้รอบคอบ เพิ่มนำเข้าสินค้าเกษตร เหตุอาจก่อปัญหาให้ภาคเกษตรระยะยาว ขณะเดียวกัน ต้องเร่งแก้ปัญหาขาดดุลการค้าจีน

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงการเตรียมการของรัฐบาลไทยเพื่อรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 ว่า ขณะนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าของการเตรียมรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 หรือมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐอาจนำมาใช้ เพื่อหวังลดการขาดดุลการค้ากับไทย ซึ่งมองว่า หากรัฐบาลยังไม่มียุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรอง หรือกำหนดออกมาเป็น Single Trade Policy ก็อาจไม่ทันกับการรับมือ และอาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐได้รับผลกระทบแน่นอน

นอกจากนี้ องค์การภาคเอกชนต่างๆ รวมถึง สรท.ต้องการรัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อเตรียมการรับมือ เพราะภาคเอกชนเป็นผู้ส่งออก ผู้ทำการค้ากับสหรัฐตัวจริง มีข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้สามารถวางแผน และกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรองได้อย่างชัดเจน ซึ่งในเรื่องนี้ ภาคเอกชนเรียกร้องมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้รับติดต่อจากรัฐบาลให้เข้าร่วมด้วยเลย

สรท.หวั่นรัฐบาลล่าช้า เตรียมแผนเจรจาสหรัฐ ฉุดส่งออกตลาดหลัก

การเตรียมรับมือของภาครัฐล่าช้าเกินไป ยังไม่มียุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองที่ชัดเจน ทำให้เกรงว่า การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐอาจได้รับผลกระทบ โดยมูลค่าส่งออกอาจหายไป หรือลดลง จากปี 67 ที่มีมูลค่าเกือบ 55,000 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนประมาณ 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งน่าจะเห็นภาพผลกระทบที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปีนี้เป็นต้นไป” นายชัยชาญ กล่าว

สำหรับการเจรจาต่อรอง ที่มีข่าวออกมาว่า ไทยอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐในรายการที่นำเข้าอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงน้ำมันดิบด้วยนั้น ต้องการให้รัฐบาลชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร  ที่อาจก่อปัญหาให้กับภาคเกษตรในระยะยาว กับการลดมูลค่าการได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ที่ไทยได้ดุลมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และล่าสุดปี 67 ไทยได้ดุลเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มูลค่ากว่า 35,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เพราะต้องเพิ่มมูลค่าการนำเข้าเท่าไร จึงจะถึงจุดที่สามารถลดขาดดุลการค้าของสหรัฐได้

 

 

นายชัยชาญ กล่าวอีกว่า นอกจากเรื่องแก้ปัญหาได้ดุลการค้ากับสหรัฐแล้ว ไทยยังต้องแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีนด้วย ที่ล่าสุดปี 67 ไทยขาดดุลมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท โดยต้องเร่งแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ไทยจำนวนมาก และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากสหรัฐใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าจีน ที่ส่งผลให้สงครามการค้าสหรัฐ-จีนทวีความรุนแรงมากขึ้น

 ทั้งนี้การป้องกันสินค้านำเข้าจากจีน รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ ที่มีอยู่  เพื่อปกป้องผู้ผลิตไทย และผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะการออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) หรือการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) โดยเฉพาะในสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ต่างๆ ที่ปัจจุบันทะลักเข้าไทยจำนวนมาก จนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทย รวมถึงผู้บริโภค ที่ใช้สินค้าไม่ได้มาตรฐานด้วย

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์