ราคาน้ำมันดิบทรงตัวที่ระดับต่ำ ตลาดจับตาเจรจารัสเซีย-ยูเครน

ราคาน้ำมันดิบทรงตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนในวันพุธ เนื่องจากคลังสำรองน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด ส่งผลอุปสงค์ลดลง และอาจมีข้อตกลงสันติภาพรัสเซียและยูเครน
รอยเตอร์สรายงานภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกวันพุธ (26 ก.พ.) ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลดลง 31 เซ็นต์ หรือ 0.42% อยู่ที่ 72.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อเวลา 11.00 น. ตามเวลาฝั่งตะวันออกสหรัฐ (16.00 GMT) และราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียตของสหรัฐ (WTI)
ราคาน้ำมันดิบทรงตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนในวันพุธ เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงเกินคาด ส่งผลให้อุปสงค์ลดลง และอาจมีข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนตามมา ซึ่งยังคงกดดันราคาน้ำมันดิบ
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน (EIA) เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่าปริมาณสำรองน้ำมันดิบจะลดลงอย่างไม่คาดคิด เนื่องจากกิจกรรมการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น
“ดูเหมือนว่าตลาดจะไม่ชอบปริมาณน้ำมันกลั่นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการส่งออกผลิตภัณฑ์กลั่นที่ลดลงด้วย” จิโอวานนี สเตาโนโว นักวิเคราะห์ของธนาคาร UBS กล่าว
นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของ ING ระบุในบันทึกในวันพุธว่า แนวโน้มของข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนกำลังดีขึ้น และเสริมว่า ตลาดกำลังจับตาดูผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงแร่ธาตุสำคัญระหว่างสหรัฐและยูเครนด้วย
“สิ่งนี้จะทำให้เราเข้าใกล้การยกเลิกการคว่ำบาตรต่อรัสเซียไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะขจัดความไม่แน่นอนด้านอุปทานที่ครอบงำตลาดไปมาก” บันทึกดังกล่าวระบุ
โอเล แฮนเซน นักวิเคราะห์ของ Saxo Bank กล่าวว่า ความเสี่ยงด้านลบต่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ เช่น ความคิดริเริ่มที่จะสนับสนุนการส่งออกน้ำมันของอิรักให้มากขึ้น
นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ อาจก่อให้เกิดสงครามการค้าและจำกัดการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ด้วย แฮนเซนกล่าวเสริม
สหรัฐและยูเครนตกลงกันในเงื่อนไขของร่างข้อตกลงแร่ธาตุซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความพยายามของทรัมป์ที่จะยุติสงครามในยูเครนโดยเร็ว แหล่งข่าวที่ทราบเรื่องนี้กล่าวกับรอยเตอร์สเมื่อวันอังคาร
นักวิเคราะห์ของธนาคาร ANZ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ราคาน้ำมันถูกกดดันจากความกังวลว่าการตัดสินใจของทรัมป์เกี่ยวกับภาษีศุลกากรต่อจีนและคู่ค้าอื่นๆ อาจขัดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ความกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่ตึงตัวในระยะใกล้ลดลง แม้ว่าสหรัฐฯ จะมีมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านใหม่ก็ตาม







