‘การบินไทย’ พ้นฟื้นฟู เม.ย.นี้ เร่งเพิ่มฝูงบิน โกยผู้โดยสาร 16.5 ล้านคน

"การบินไทย" ยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ เม.ย.นี้ กางแผนรับมอบเครื่องบินเพิ่ม 9 ลำ หวังดันผู้โดยสารปีนี้แตะ 16.5 ล้านคน ขณะที่หนี้สะสมคงเหลือ 8.7 หมื่นล้านบาท มั่นใจใช้ครบตามกำหนด ประกาศเดินหน้าจับมือ “บางกอกแอร์เวย์ส” ลุย MRO อู่ตะเภา 1 หมื่นล้านบาท
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู 4 เงื่อนไข ประกอบด้วย 1.จดทะเบียนเพิ่มทุนเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างทุน 2.ไม่ผิดนัดชำระหนี้ 3.EBITDA ไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาทในรอบ 12 เดือนย้อนหลัง และมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก และ 4. การแต่งตั้งกรรมการใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะมีการเสนอรายชื่อให้ผู้ถือหุ้นรับรองใน การประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 18 เม.ย.68 นี้
ขณะที่กรอบการดำเนินงานเพื่อยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการนั้น คาดว่าภายในเดือนเม.ย.นี้ จะยื่นต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ หลังจากนั้นคาดว่าภายในเดือนพ.ค.นี้ ศาลล้มละลายกลางอนุมัติยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ขณะเดียวกันบริษัทประเมินว่าในช่วงต้น - กลาง มิ.ย.นี้ จะดำเนินการให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามการยื่นขอกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และภายในเดือนมิ.ย.2568 หุ้นของบริษัทจะกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
"การกลับเข้าไปเทรดในตลาด ช่วงที่ตลาดยังมีความผันผวนนั้น บริษัทเรามองว่าตลาดมีความผันผวนเกิดขึ้นตลอด แต่การบินไทยเรามีความมั่นใจในการฟื้นฟูกิจการ และกำหนดไว้ว่าเมื่อออกจากการฟื้นฟูกิจการแล้วจะต้องกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อทำให้ผู้ถือหุ้นได้ซื้อขายหลักทรัพย์อย่างที่ตั้งเป้าไว้ในกลางปีนี้"
อย่างไรก็ดี เพื่อทำให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจในการบินไทย และได้รับประโยชน์จากการจ่ายเงินปันผล ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัท จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัท ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียน และทุนชำระแล้วของบริษัท ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัท แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัท อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัท สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน
และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัท ยังคงมีแผนดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะรับมอบเครื่องบินเพิ่มเติมจำนวน 9 ลำ จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 79 ลำ โดยจะรับมอบแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ประกอบด้วย แอร์บัส A330 จำนวน 7 ลำ แอร์บัส A321 จำนวน 1 ลำ และแอร์บัส A330-300 จำนวน 1 ลำ
โดยเมื่อมีการรับมอบเครื่องบินเหล่านี้บริษัท จะนำไปเพิ่มความถี่จุดบินที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเยอรมนี เพื่อทำให้ภาพรวมผู้โดยสารปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 16.5 ล้านคน จากปี 2567 ที่มีจำนวน 16 ล้านคน
ขณะเดียวกัน บริษัทได้หารือร่วมกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) อยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินโครงการ และกำหนดเงื่อนไขคัดเลือกผู้ลงทุน
โดยเบื้องต้นประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะใช้งบประมาณลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท โดยการบินไทยจะเป็นผู้ลงทุนหลัก เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ ขณะที่สัดส่วนการลงทุนจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอให้มีการลงนามสัญญาร่วมกับบางกอกแอร์เวย์ส แล้วเสร็จจึงจะเปิดเผยได้
นายชาย กล่าวด้วยว่า หลังจากออกจากแผนฟื้นฟูแล้วการบินไทยยังมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าการแข่งขันที่รุนแรง จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นนี้ เหตุเพราะอุตสาหกรรมการบินยังเผชิญปัญหาเครื่องบินที่มีจำกัดไม่สามารถเพิ่มการบริการได้ โดยผลจากการหารายได้อย่างต่อเนื่องนั้น
การบินไทยจึงมั่นใจว่าจะสามารถใช้หนี้ที่สะสมเดิมที่คงเหลือ 8.7 หมื่นล้านบาท ตามกำหนด และจะสามารถจ่ายหนี้ค่าเช่าเครื่องบินที่จะเกิดขึ้นรวม 9 หมื่นล้านบาทตามกำหนด และหมดในปี 2579
ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) ชุดใหม่เพื่อเข้ามาบริหารนโยบายของบริษัท หลังออกจากฟื้นฟูกิจการนั้น เบื้องต้นมีการเสนอรายชื่อกรรมการใหม่เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของผู้ถือหุ้นรวม 9 ราย แบ่งออกเป็นตำแหน่งกรรมการ จำนวน 6 ราย ได้แก่
1.นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง
2.ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต
3.นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม
4.พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ กรรมการ
5.นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร กรรมการ ตัวแทนจากสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด
6.นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการบินไทย
และกรรมการอิสระ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย
1.นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินการธนาคาร
2.นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล อัยการพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด
3.นายสัมฤทธิ์ สำเนียง อดีตผู้บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม
ทั้งนี้ ภายหลังจากบริษัท ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัท จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป
นอกจากนี้ การบินไทยขอชี้แจงผลการดำเนินงานในปี 2567 โดยการบินไทยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม 161,067 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.7%
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 41,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีกำไร 40,211 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3.2% แต่หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งมีผลทางบัญชี ทำให้การบินไทยมีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท
แต่ยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เป็นการสะท้อนการดำเนินงานที่แท้จริง เพราะเป็นรายการทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว โดยตัวเลขที่สะท้อนการทำธุรกิจเป็นรายได้จากการดำเนินงาน
ทั้งนี้ ภาพรวมในปี 2567 การบินไทยยังมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) (EBIT Margin) อยู่ที่ 22.1% ซึ่งดีกว่าประมาณการตามแผนฟื้นฟูกิจการ และเป็นอันดับต้นๆ ในอุตสาหกรรมการบิน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







