สิทธิประโยชน์สนามบินอู่ตะเภา กุญแจสำคัญ ศูนย์กลางการบินภูมิภาค

สิทธิประโยชน์เมืองการบินกุญแจสำคัญการลงทุนในโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก รัฐควรกำหนดสิทธิประโยชน์ชัดเจนแข่งขันได้ในภูมิภาค
KEY
POINTS
- โครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเป็นส่วนสำคัญของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน EEC มูลค่าการลงทุนกว่า 204,240 ล้านบาท
- เป้าหมายคือการพัฒนาให้เป็น สนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ และ ศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค รองรับผู้โดยสาร 60 ล้านคนต่อปี
- ภาคเอกชนรอความชัดเจนเรื่องสิทธิประโยชน์ จากแรงจูงใจสำหรับนักลงทุนและธุรกิจการบิน เช่น ยกเว้นภาษีนิติบุคคลและภาษีนำเข้า พร้อม สิทธิพิเศษด้านภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้เชี่ยวชาญ เช่น เขตประกอบการค้าเสรี (Free Trade Zone) สนับสนุนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ การขนส่ง และการค้าปลอดภาษี
- ความท้าทายในการลงทุนยังมีปัจจัยเรื่องการแข่งขันจากสนามบินอื่นและผลกระทบจากโควิด-19 อาจลดความสำคัญของโครงการ และมาตรการสนับสนุนยังไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับ สิงคโปร์ ไห่หนาน และฮ่องกง ภาครัฐจึงควรกำหนดสิทธิประโยชน์ให้ชัดเจน เพื่อดึงดูดการลงทุนและทำให้สนามบินอู่ตะเภากลายเป็น "The Prime Gateway to Asia" อย่างแท้จริง
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ส่งผลให้การเติบโตของประเทศชะลอตัว เพื่อแก้ปัญหานี้รัฐบาลได้ผลักดันการลงทุนผ่านโครงการ "เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก" หรือ “EEC” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทยให้หลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งในช่วง 5 – 10 ปีที่ผ่านมาโครงการนี้มีความโดดเด่น และเป็นความหวังในการดึงดูดการลงทุนโดยมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ ทั้งในด้านโลจิสติกส์ การลงทุน และเทคโนโลยีขั้นสูง
ในส่วนของการกำหนดการลงทุนโครงการสร้างพื้นฐานได้มีการกำหนดโครงการสำคัญ 4 โครงการได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-และอู่ตะเภา) ท่าเรืออู่ตะเภาเฟส 3 ท่าเรือมาบตาพุดเฟส3 และโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก
โดยโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกเป็นหนึ่งในโครงการหลักของ EEC มีมูลค่าการลงทุนกว่า 204,240 ล้านบาทโดยโครงการนี้ได้มีการลงนามในสัญญาระหว่างสำนักงานคณะกรรมการเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (สกพอ.) และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) มีเป้าหมายในการเปลี่ยนสนามบินอู่ตะเภาให้เป็น สนามบินนานาชาติแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค โครงการนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการบินไทยและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม โดยหากดำเนินการตามแผน สนามบินอู่ตะเภาจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 60 ล้านคนต่อปี และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อโครงการรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งระหว่าง 3 สนามบินหลัก ได้แก่ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา
นอกจากนั้นหากเมืองการบินภาคตะวันออกจะถูกพัฒนาให้เป็น ศูนย์กลางธุรกิจการบิน (Aviation Hub) ที่ทันสมัยโดยมีผลเชิงบวกที่จะเกิดกับทางเศรษฐกิจจากโครงการนี้ ได้แก่
- เพิ่ม GDP ของประเทศได้มากกว่า 600,000 ล้านบาทต่อปี
- สร้างการจ้างงานกว่า 15,000 ตำแหน่ง
- เพิ่มรายได้ภาครัฐไม่น้อยกว่า 40,000 ล้านบาทต่อปี
- ดึงดูดนักลงทุนและบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตและศูนย์วิจัยใน EEC
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการสนามบินอู่ตะเภาจะมีศักยภาพสูง แต่ก็ยังเผชิญกับอุปสรรคหลายด้านที่ต้องเร่งแก้ไขได้แก่
1. ความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินยังไม่มีความชัดเจนในแง่ของการดำเนินการและงบประมาณ หากโครงการนี้ล่าช้า จะส่งผลให้สนามบินอู่ตะเภาขาดการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพกับสนามบินอื่น ๆ และทำให้การเดินทางของผู้โดยสารไม่สะดวก
2. สิทธิประโยชน์ทางภาษีและนโยบายรัฐ ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สิงคโปร์ และจีน ต่างให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและแรงจูงใจด้านการลงทุนที่ชัดเจนแก่บริษัทต่างชาติ ประเทศไทยยังขาดมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่โครงการสนามบินอู่ตะเภา
3. การแข่งขันจากสนามบินอื่นและการเปลี่ยนแปลงด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากหลังวิกฤตโควิด-19 พฤติกรรมการเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนไป ประกอบกับแผนขยายสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ซึ่งอาจลดความสำคัญของสนามบินอู่ตะเภาในฐานะศูนย์กลางการบินแห่งใหม่
ทั้งนี้ในเรื่องสิทธิประโยชน์ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญของการขับเคลื่อนโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ซึ่งต้องมีสิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนที่สามารถแข่งขันกับเมืองการบินระดับโลก เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และไห่หนานของจีน
รัฐบาลไทยได้กำหนดสิทธิประโยชน์ไว้ใน สัญญาร่วมลงทุน (PPP) และมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) รวมถึงข้อกำหนดจาก คณะกรรมการนโยบาย EEC (กพอ.) ซึ่งครอบคลุมสิทธิพิเศษด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี เพื่อสนับสนุนให้สนามบินอู่ตะเภากลายเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษด้านการบิน โดยในสัญญาระบุว่าสามารถที่จะกำหนดรูปแบบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้รับสัมปทานได้ เช่น
1. สิทธิประโยชน์ด้านภาษี (Tax Incentives)
- ยกเว้นภาษีนิติบุคคล สำหรับบริษัทที่ดำเนินกิจกรรมภายในเมืองการบินภาคตะวันออก
- ยกเว้นภาษีนำเข้า สำหรับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในโครงการ
- อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) พิเศษ สำหรับสินค้าและบริการที่อยู่ในพื้นที่เขตการบิน
- สิทธิพิเศษด้านภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรระดับสูงในอุตสาหกรรมการบินที่มาทำงานในโครงการ
2. สิทธิประโยชน์ด้านแรงงานและการประกอบกิจการ
- อนุญาตให้แรงงานต่างชาติที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาทำงานในโครงการภายใต้ วีซ่าพิเศษ (Smart Visa)
- ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการอนุมัติใบอนุญาตทำงานของผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการบิน
- สนับสนุนให้สถานศึกษาและมหาวิทยาลัยในพื้นที่พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์
3. เขตประกอบการค้าเสรี (Free Trade Zone - FTZ)
- ภายในเมืองการบินภาคตะวันออกจะมีการกำหนด "เขตประกอบการค้าเสรี" (Free Trade Zone - FTZ) เพื่อให้ธุรกิจที่เข้ามาดำเนินการได้รับสิทธิพิเศษ เช่น
- ยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าที่ผลิตและส่งออก
- อนุญาตให้มีการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง การจัดเก็บ และการกระจายสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษี
- สิทธิในการตั้งสำนักงานตัวแทนและศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศ
4. สิทธิประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและบริการการบิน
- สนับสนุนให้มีการจัดตั้ง ศูนย์การแพทย์การบิน (Aviation Medical Hub) เพื่อรองรับนักเดินทางเชิงสุขภาพ
- ส่งเสริมให้สนามบินอู่ตะเภาเป็น ศูนย์กลางของธุรกิจการบินส่วนบุคคล (Private Jet Hub)
- มาตรการดึงดูดสายการบินโดย ลดค่าธรรมเนียมการขึ้นลงของอากาศยาน (Landing Fee) และค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน ในช่วงแรกของการเปิดให้บริการ
- กระตุ้นการท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับเมืองพัทยาและภาคตะวันออก โดยใช้มาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
เปรียบเทียบสิทธิประโยชน์สนามบินกรณีศึกษาไห่หนาน
เพื่อให้สนามบินอู่ตะเภาประสบความสำเร็จ รัฐบาลไทยอาจต้องพิจารณามาตรการที่ใช้ในพื้นที่ Hainan Free Trade Port ของจีน ซึ่งเป็นโครงการที่สามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล
ตัวอย่างมาตรการที่จีนใช้ ได้แก่
1.การยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้า Duty-Free โดยนักท่องเที่ยวสามารถซื้อสินค้าปลอดภาษีได้สูงสุด 100,000 หยวนต่อปี (ประมาณ 500,000 บาท)
2.มาตรการสนับสนุนธุรกิจการบินและโลจิสติกส์ โดยให้เงินอุดหนุนสายการบินที่เปิดเส้นทางใหม่มายังไห่หนาน
3.การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการแพทย์ โดยให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนกับโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพนานาชาติ
หากประเทศไทยต้องการให้สนามบินอู่ตะเภาเป็น "ศูนย์กลางการบินแห่งเอเชีย" ควรพิจารณามาตรการเหล่านี้และปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศ การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเป็นมากกว่าแค่โครงการขยายสนามบิน แต่เป็น "โครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์" ที่จะผลักดันให้ไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การบิน และโลจิสติกส์ของอาเซียน ซึ่งภาครัฐควรมีการประกาศในส่วนนี้ให้ชัดเจนเพราะเอกชนพร้อมที่จะลงทุนโครงการนี้เพื่อขับเคลื่อนการลงทุนให้ได้ตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงการนี้จะได้รับสิทธิประโยชน์หลายประการ แต่ความล่าช้าในการออกมาตรการที่เป็นรูปธรรมอาจส่งผลให้สนามบินอู่ตะเภาสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปให้กับคู่แข่งในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกง
ดังนั้น รัฐบาลควรเร่งดำเนินการออกกฎหมายและอนุมัติสิทธิประโยชน์ให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อให้สนามบินอู่ตะเภาสามารถแข่งขันในระดับสากลได้อย่างแท้จริง







