'UTA' พร้อมลงทุน 'อู่ตะเภา' ปั้นเมืองการบินไม่รอ 'ไฮสปีด'

'UTA' พร้อมลงทุน 'อู่ตะเภา' ปั้นเมืองการบินไม่รอ 'ไฮสปีด'

“คีรี” ลั่น UTA พร้อมลงทุนเมืองการบินภาคตะวันออก ไม่รอไฮสปีด 3 สนามบิน หลัง มิ.ย.นี้ครบ 5 ปี ลงนามสัญญาร่วมลงทุน เจรจา สกพอ.ปรับแบบลงทุนสนามบินอู่ตะเภาเฟสแรก

KEY

POINTS

  • "คีรี" ชี้อีอีซีเป็นโครงการสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศที่ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง 
  • เผย "UTA" พร้อมลงทุนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก โดยไม่ต้องรอรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน
  • ขณะนี้รอความชัดเจนสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ พร้อมเดินหน้าลงทุนโดยชักชวนพันธมิตรมาร่วมทุนในพื้นที่ โดยสิทธิประโยชน์ทั้งภาษี และไม่ใช่ภาษีจะช่วยให้โครงการสำเร็จ 
  • เตรียมหารือ สกพอ.ปรับแบบลดขนาดเฟสแรก โดยอยู่ระหว่างเจรจากับ สกพอ. ให้การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเฟสแรก รองรับผู้โดยสารเหลือ 5 ล้านคน 

โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นโครงการสร้างพื้นฐานสำคัญเพื่อสร้างแรงจูงใจพัฒนาพื้นที่พิเศษ โดยความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) มีผลต่อโครงการสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก 

ทั้งนี้ โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ยังไม่มีความชัดเจนจะเริ่มก่อสร้างเมื่อไหร่ เพราะอยู่ขั้นตอนการแก้ไขสัญญาระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัทเอเชีย เอราวัน จำกัด

ล่าสุดบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) ในฐานะผู้รับสัมปทานโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกพื้นที่ 6,500 ไร่ ยืนยันที่จะเดินหน้าลงทุนโดยไม่รอโครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน หากภาครัฐมีความชัดเจนในสิทธิประโยชน์ที่จะสนับสนุนการลงทุนในโครงการเมืองการบิน

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) เปิดเผยว่า อีอีซีเป็นโครงการสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยที่ผ่านมาเป็นที่รู้จักของนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งหากลงทุนในอีอีซีต่อเนื่องจะช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว จึงเห็นว่ารัฐบาลควรให้ความสำคัญกับโครงการนี้ 

นอกจากนี้ UTA ได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของเมืองการบินไปมากแล้ว หลังจากลงนามสัญญากับภาครัฐเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2563 และจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 18 มิ.ย.2568 ซึ่งมีข้อกำหนดในการที่จะต้องมีการออกเอกสารให้เอกชนเริ่มก่อสร้างโครงการ (NTP) 

แต่ในสัญญากำหนดส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ต้องนำหรือขนส่งผู้โดยสารเข้าสนามบิน ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะมีการลงทุนเมื่อไหร่จึงทำให้ยังไม่สามารถออก NTP ได้ 

'UTA' พร้อมลงทุน 'อู่ตะเภา' ปั้นเมืองการบินไม่รอ 'ไฮสปีด'

ทั้งนี้ UTA ในฐานะผู้รับสัมปทาน และพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ได้หารือผู้ถือหุ้นแล้วพร้อมลงทุนโครงการนี้ โดยไม่รอให้โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน เริ่มก่อสร้าง 

รวมทั้งเดิมคาดว่าเมืองการบินจะลงทุนกว่า 6 แสนล้าน แต่ตอนนี้เมื่อบางส่วนยังไม่ชัดเจนการลงทุนอาจลดขนาดลง แต่ยังบอกได้ไม่ชัดว่าจะลงทุนเท่าไร เพราะขึ้นกับสิทธิประโยชน์ที่ภาครัฐเสนอให้ด้วย โดยจากสิทธิประโยชน์จะต้องนำไปชักชวนการลงทุน และทำแผนการบริหารทางด้านการเงินของโครงการในลำดับต่อไป 

ลดการลงทุนอู่ตะเภาเฟสแรกรับ 5 ล้านคน 

นอกจากนี้ เบื้องต้นเสนอปรับโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยอาจลงทุน 40% ของโครงการเดิม ซึ่งการลงทุนอาคารผู้โดยสารเฟส 1 รองรับไม่ต่ำกว่าปีละ 5 ล้านคน ทั้งนี้เป็นการปรับลดลงจากแผนเดิมที่จะรองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคนในระยะแรก 

ในปัจจุบันมีผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในสนามบินอู่ตะเภา 4 แสนคนต่อปี ซึ่งถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่มีผู้โดยสารเข้ามา 1.8 ล้านคน จึงต้องสร้างดีมานด์ผู้โดยสารที่จะเข้ามาในส่วนนี้เพิ่ม

ทั้งนี้สนามบินอู่ตะเภามีความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ เพราะภาครัฐได้มีการอนุมัติการลงทุนรันเวย์แห่งที่ 2 เมื่อรวมกับโครงการในระยะแรกที่ตั้งเป้าจะดึงผู้โดยสารเข้ามาประมาณ 4 – 5 ล้านคนต่อปี จำเป็นต้องมีการดึงภาคเอกชนรายอื่นๆ เข้ามาร่วมลงทุนทั้งในสนามบิน และเมืองการบินภาคตะวันออกซึ่งในประเด็นนี้หากภาครัฐมีความชัดเจนเรื่องสิทธิประโยชน์ทั้งที่เป็นภาษี และไม่ใช่ภาษี UTA ก็พร้อมที่จะเดินหน้าลงทุนในโครงการนี้ทันที

รอคลังประกาศกระทรวงเรื่องสิทธิประโยชน์ 

นายคีรี ระบุว่าจากการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทำให้ทราบว่ากฎหมายของอีอีซีนั้นครอบคลุมหลายด้าน และมีการให้สิทธิประโยชน์อย่างครอบคลุมโดยการให้สิทธิประโยชน์ซึ่งเอกชนที่รับสัมปทานในโครงการนั้นรัฐบาลสามารถให้ได้โดยการเจรจากับเอกชน และออกเป็นประกาศกระทรวงการคลังได้ โดยข้อเสนอที่มีการหารือร่วมกับภาครัฐเช่น สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี และไม่ใช่ภาษีที่แข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค โดยสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอาจพิจารณาลดภาษีนิติบุคคลเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ในช่วงแรกที่มีการลงทุนสามารถเดินหน้าโครงการได้โดยไม่มีต้นทุนทางด้านภาษี

นอกจากนั้นอาจมีการยกเว้นภาษีนำเข้า และส่งออก กำหนดพื้นที่ปลอดอากร (duty free) เพื่อสนับสนุนให้พื้นที่นี้เป็นแหล่งชอปปิงแห่งใหม่ เพื่อลดการเดินทางออกไปซื้อสินค้าในต่างประเทศเหมือนกับที่จีนทำพื้นที่ลักษณะนี้ที่เกาะไห่หนานซึ่งประสบความสำเร็จในการพัฒนาพื้นที่เป็นอย่างดี

“สิทธิประโยชน์ที่ภาครัฐจะให้กับเอกชนถือว่าเป็นการรับความเสี่ยงร่วมกันระหว่างภาครัฐ และเอกชนผู้รับสัมปทานเพื่อให้โครงการนี้เดินหน้าไปได้โดยใช้สิทธิประโยชน์คู่ขนานไปกับการลงทุน โดยที่ผ่านมาภาคเอกชนได้มีการลงทุนในโครงการนี้ไปพอสมควรแล้วแต่ยังเริ่มต้นโครงการไม่ได้ ซึ่งในสัญญาที่ทำกับภาครัฐไว้เปิดโอกาสให้มีการเจรจากันในเรื่องต่างๆเหล่านี้ได้เพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จ ซึ่งเราพร้อมจะเดินหน้าโครงการโดยหาทางออกร่วมกันดีกว่าฟ้องร้องเป็นคดีความซึ่งจะส่งผลต่อชื่อเสียงของโครงการอีอีซี”นายคีรี กล่าว

ชี้สัญญาอู่ตะเภายืดหยุ่นรับเจรจา

นายวีรวัฒน์ ปัณฑวังกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด (UTA) กล่าวว่า การลดขนาดโครงการไม่ต้องแก้ไขสัญญา เพราะสัญญาเปิดให้คู่สัญญาหารือกันได้ ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูง แต่การปรับรายละเอียดต้องมีเหตุผล และไม่เปลี่ยนเงื่อนไขสำคัญในสัญญาที่คาดว่าหารือร่วมกันได้ 

ทั้งนี้ ทีโออาร์กำหนดให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินแห่งที่ 3 ของกรุงเทพฯ ซึ่งมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในสนามบินแห่งนี้สนามบินอู่ตะเภาจะมีรันเวย์ขนาดใหญ่ 2 รันเวย์ และเอกชนจะลงทุนสร้างอาคารผู้โดยสารเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว 5 ล้านคน ซึ่งเท่ากับสนามบินเชียงใหม่แต่เที่ยวบิน และจำนวนนักท่องเที่ยวยังมาน้อย 

ดังนั้นต้องเพิ่มดีมานด์สายการบิน และนักท่องเที่ยวดังนั้นสิทธิประโยชน์ที่จะให้สำหรับการดึงเอกชนเข้ามาลงทุนในเมืองการบิน

นอกจากนี้แนวทางส่งเสริมเมืองการบินอู่ตะเภาควรดูความสำเร็จของต่างประเทศมาพัฒนาต่อยอดได้ ซึ่งถ้าภาครัฐมีความชัดเจนจะดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวก็ต้องมีมาตรการสนับสนุนเพื่อการลงทุนให้มีการลงทุนสร้างสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ 

แต่หากเป็นพื้นที่ที่รองรับการใช้จ่ายของคนในประเทศเหมือนจีนที่เกาะไห่หนานต้องมีมาตรการลดภาษีบริโภค เช่น จีนให้ลดภาษีจากการไปซื้อสินค้า 100,000 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจนจะช่วยให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนของการลงทุนในเมืองการบินภาคตะวันออก

ขอความชัดเจนอุโมงค์เชื่อมไฮสปีด

ขณะที่การปรับแบบก่อสร้างนั้น จะมีผลกระทบต่องานก่อสร้างอุโมงค์รถไฟความเร็วสูงที่มีพื้นที่เชื่อมภายใต้อาคารผู้โดยสารหรือไม่นั้น เห็นว่า ภาครัฐต้องหาข้อสรุปปัญหาดังกล่าว โดยถ้าโครงการรถไฟความเร็วสูงยังดำเนินการไม่ได้ หากยังต้องการให้เตรียมพื้นที่รองรับรถไฟความเร็วสูง ก็ต้องแจ้งมาให้ชัดเจนว่าจะมีทางออกอย่างไร 

รวมทั้งใครจะรับภาระการลงทุนเพราะไม่อย่างนั้นจะกระทบกับการลงทุนรวมของเมืองการบิน และรัฐต้องจัดลำดับความสำคัญให้ชัดเจน แต่โครงการนี้ต้องเริ่มเลยจะช่วยเพิ่มจีดีพี และการจ้างงาน

ชี้คอนเซปต์พัฒนาพื้นที่ต้องชัด

ส่วนการจัดสิทธิประโยชน์พิเศษโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการภาคตะวันออก ภายใต้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกทั้งสิทธิประโยชน์ภาษี และไม่ใช่ภาษี โดยต้องให้กระทรวงการคลังออกประกาศรองรับก่อน ซึ่งภาครัฐควรกำหนดสิทธิประโยชน์สำหรับธุรกิจในเมืองการบิน เช่น ภาษีนำเข้าสินค้า 

ทั้งนี้ กับลักษณะของโครงการด้วยซึ่งเรื่องนี้ภาครัฐกับเอกชนต้องมีการพูดคุยกันต่อไป ซึ่งแนวทางนี้อยู่บนหลักการที่ภาครัฐต้องส่งเสริมให้เอกชนเดินหน้าพัฒนาโครงการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ว่าโครงการขนาดใหญ่ยังสามารถขับเคลื่อนไปได้ 

“ถ้าโครงการนี้ไม่มีรถไฟความเร็วสูงต้องกลับมาคิดว่าสิทธิประโยชน์ที่รัฐจะให้มีอะไร และ สกพอ.ต้องบอกคอนเซปต์โครงการให้ชัดเพราะการก่อสร้างแต่ละคอนเซปต์ลงทุนไม่เหมือนกัน เช่น Weekend destination , Everyday Destination”

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์