ค่านิยมทำงานหนัก-ประหยัดก่อปัญหาเศรษฐกิจเยอรมนี

 ค่านิยมทำงานหนัก-ประหยัดก่อปัญหาเศรษฐกิจเยอรมนี

คนเยอรมันเคยภาคภูมิใจว่าระบบเศรษฐกิจของตนเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับประเทศอื่น แต่เศรษฐกิจใหญ่อันดับหนึ่งของยุโรปกำลังอยู่ในภาวะลำบาก รากเหง้าของปัญหาอยู่ที่ไหน?

พรรคฝ่ายอนุรักษ์นิยมคาดว่าจะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลผสม หลังจากมีคะแนนนำในการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ (23 ก.พ.)ที่ผ่านมา ความท้าทายคือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซึ่งติดลบมาสองปีซ้อน

พรรคอนุรักษ์นิยม CDU-CSU สัญญาว่า จะลดภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล ลดการอุดหนุน ปรับระบบสวัสดิการสังคม ลดกฎระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจ ส่งเสริมนวัตกรรม บริษัทสตาร์ทอัพ สนับสนุนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ รวมทั้งจะกระตุ้นการลงทุน 

แต่นักวิเคราะห์มองว่า แนวทางนโยบายเศรษฐกิจอาจจะแตกต่างจากรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ชอลซ์ แต่ไม่ถึงกับปฏิรูปเพื่อพลิกโฉมเศรษฐกิจ 

คาร์สเทน เบรซกี หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจมหภาคของธนาคาร ING กล่าวกับซีเอ็นบีซีว่า “อาจจะมีการปรับนโนยบายเศรษฐกิจใหม่แต่ไม่ถึงขึ้นกับพลิกโฉมใหม่ ยังคงเป็นแนวอนุรักษ์นิยม”

 “จุดอ่อนของ CDU-CSU คือไม่ค่อยชัดเจนว่าจะเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล และการศึกษาอย่างไร ความตั้งใจมีอยู่ แต่รายละเอียดไม่มี” เบรซกี กล่าว

ด้านเจอรัลดีน ดานี-เน็ดลิก หัวหน้าฝ่ายพยากรณ์เศรษฐกิจของสถาบันวิจัย DIW ในเบอร์ลิน กล่าวว่า CDU กำลังหาวิธีที่จะบรรลุเป้าหมายเศรษฐกิจเติบโตที่ประมาณ 2% อีกครั้งผ่านแผนการคลังและเศรษฐกิจที่เรียกว่า "วาระ 2030"

อย่างไรก็ตาม การบรรลุระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวในเยอรมนี "ดูเหมือนจะไม่อยู่บนฐานของความเป็นจริง" ไม่ใช่แค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ในระยะยาวด้วย ดานี-เน็ดลิกให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี 

เศรษฐกิจเยอรมนีล่าสุดไตรมาสสี่ปีที่แล้วหดตัว 0.2% จากไตรมาสสาม และทั้งปี 2024 หดตัว 0.2% และปี 2023 หดตัว 0.3%  

พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ชี้ว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดของเยอรมนีคือ “การหมกมุ่นทำนโยบายการคลังแบบสมดุล (Black Zero)” มีหนี้สาธารณะระดับต่ำ หรือพูดง่ายๆคือ การใช้นโยบายแบบรัดเข็มขัด 

ตามข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ( IMF) เยอรมนีมีอัตราหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพียง 63% เทียบกับสหรัฐที่  123 % ในปี 2023 หนี้ของเยอรมนีนับว่าต่ำมากในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

ในปี 2007ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก สหรัฐอเมริกาและเยอรมนีมีระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน แต่ตั้งแต่นั้นมาเยอรมนียังสามารถรักษาระดับหนี้ให้อยู่ในระดับต่ำได้ ในขณะที่สหรัฐกลับมีหนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก 

 ครุกแมน ระบุว่า ผลเสียของการควบคุมให้หนี้ต่ำไว้คือ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่ำซึ่งส่งผลทำให้ผลิตภาพของประเทศ (Productivity) ต่ำลงไปด้วย  

โดยครุกแมนได้เขียนบทวิเคราะห์ลงในแพลตฟอร์ม Substack เมื่อเร็วๆนี้

ตามข้อมูลของ IMF อัตราส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเยอรมนีต่อ GDP อยู่รั้งท้ายของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว หรือสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(OECD)โดยต่ำกว่า 3%  ขณะที่นอร์เวย์มีสัดส่วนสูงสุดเกิน 6% อัตราเฉลี่ยในช่วงปี 2018-2022 ปัญหาาส่วนหนึ่งของการลงทุนภาครัฐน้อยคือการขาดบุคลากรในภาครัฐเองทำให้งบประมาการลงทุนที่ตั้งไว้ใช้ไม่หมด 

ปัญหาใหญ่ต่อมาคือ การลดลงของประชากรในวัยทำงาน และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของกลุ่มผู้สูงอายุ สร้างแรงกดดันต่อตลาดแรงงานและภาระของระบบประกันสังคมเพิ่มขึ้น 

อดีตนายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แก้ปัญหาด้วยการเปิดประเทศรับผู้อพยพ ซึ่งเป็นนโยบายที่คนเยอรมันไม่ชอบ ผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองเชื่อว่า ทำให้พรรคฝ่ายขวาจัด AfD ได้รับความนิยมสูงขึ้นมากในการเลือกตั้งรอบนี้ โดยคาดว่าจะได้เสียงมากเป็นอันดับสอง จากการชูนโยบายต่อต้านผู้อพยพเข้าเมือง 

แต่แมร์เคิลและรัฐบาลต่อมายังคงใช้นโยบายรัดเข็มขัด ในปี 2008 ซึ่งเป็นปีวิกฤตการเงินโลก แมร์เคิล ได้กล่าวเชิดชูวัฒนธรรมการทำงานหนักและประหยัดของแม่บ้านในภูมิภาคสวาเบียของเยอรมนี ว่าเป็นสิ่งที่ควรเอาอย่าง  

เศรษฐกิจเยอรมนีดูเหมือจะเข้มแข็ง จากที่เยอรมันได้ดุลการค้าต่างประเทศสูงและโดยเฉพาะด้านสินค้าอุตสาหกรรม

ครุกแมนกล่าวว่า การค้าต่างประเทศของเยอรมนีเป็นต้นแบบให้กับหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งเป็นต้นแบบให้แนวคิดในเรื่องการค้าระหว่างประเทศของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ขณะที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าสินค้าอุตสาหกรรมมากกว่า 4 % ของ GDP แต่เยอรมนีเกินดุลมากกว่า 8 % ของ GDP สาเหตุหลักคือภาคการผลิตมีบทบาทในเศรษฐกิจของเยอรมนีมากกว่าของสหรัฐ แม้ว่าจะยังคงมีบทบาทน้อยกว่าในช่วงทศวรรษ 1960s ก็ตาม 

ครุกแมนมองว่า การเกินดุลการค้าสูงของทั้งเยอรมนีและจีนไม่ได้เป็นสัญญาณของความเข้มแข็ง แต่เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ จากความล้มเหลวของนโยบายเศรษฐกิจในประเทศ 

ครุกแมนกล่าวว่า “สิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์ของเยอรมนีคือ ความคิดที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความหมกมุ่นที่มีต่อการควบคุมหนี้และดุลงบประมาณซึ่งได้ครอบงำนโยบายเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่พัฒนาแล้ว การควบคุมหนี้และจำกัดการขาดดุลงบประมาณทำให้การฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินปี 2008 ในยุโรปและอเมริกาเป็นไปอย่างจำกัดอย่างมาก”

ครุกแมนชี้ว่า “หลังโควิด-19 ระบาดขึ้น ภายใต้การบริหารงานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐ ซึ่งได้เรียนรู้จากประสบการณ์วิกฤต 2008 นั้น ได้ทุ่มการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจสหรัฐก็มีการฟื้นตัวที่น่าทึ่ง ในทางกลับกัน เยอรมนีกลับยึดมั่นในหลักการงบประมาณสมดุล และได้รับผลตอบแทนเป็นการชะงักงันทางเศรษฐกิจแทน”

 ครุกแมนเห็นว่า จากมุมมองทางการคลังแล้ว เยอรมนีดูเหมือนเป็นแบบอย่างของการมีวินัย และจากมุมมองของทรัมป์ เยอรมนีดูเหมือนเป็นผู้ชนะรายใหญ่ในการแข่งขันระหว่างประเทศ 

ผู้กำหนดนโยบายของเยอรมนีเชื่อในแนวคิดที่ว่ามาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังจะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเพิ่มความเชื่อมั่นทางธุรกิจ แต่สถานการณ์กลับไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น 

ครุกแมนยังชี้แจงว่า สำหรับผู้ที่บ่นว่าการใช้จ่ายของไบเดนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง แต่อัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 นั้นก็ใกล้เคียงกับในสหรัฐ

IMF ระบุว่าการปิดท่อแก๊สของรัสเซียในปี 2022 ส่งผลให้เงินเฟ้อและค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นในเยอรมนี อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาแก๊สเป็นเพียงชั่วคราว หลังจากพุ่งสูงขึ้นในปี 2022 ราคาขายส่งแก๊สก็ลดลงมาที่ระดับของปี 2018

ครุกแมนกล่าวว่า เยอรมนียังตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างยิ่งในการปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดของประเทศอีกด้วย

ครุกแมนสรุปว่า เยอรมนีได้เปลี่ยนจากการเป็นแบบอย่างมาเป็นเครื่องเตือนใจเกี่ยวกับต้นทุนของการคิดแบบยึดติดกับ “การทำงานหนักและประหยัด” มากเกินไป