คุม ‘นอมินี’ สกัดทุนต่างชาติสีเทา พบเสียหาย 1.2 หมื่นล้าน ธุรกิจท่องเที่ยว - อสังหาฯ นำ

พาณิชย์ ผนึกหน่วยงานปราบปรามจับกุมนอมินี 1 ก.ย.67 - 31 ม.ค.68 รวม 820 ราย ความเสียหาย 12,495 ล้านบาท ท่องเที่ยวขึ้นอันดับ 1 ตามด้วย อสังหาฯ ตั้งเป้าปี 68 สอบต่อ 26,830 ราย ภาคธุรกิจ หวั่น ธุรกิจต่างชาติเมืองท่องเที่ยวลาม “ความมั่นคง”
กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงาน อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, กรมการจัดหางาน, กรมการท่องเที่ยว, กรมที่ดิน และกรมสรรพากร
ทั้งนี้ ได้จับกุม และดำเนินคดีกับนอมินีที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ 1 ก.ย.2567 - 31 ม.ค.2568 รวม 820 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 12,495 ล้านบาท จาก 4 กลุ่มหลัก คือ
1.ท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง 104 ราย มูลค่าความเสียหาย 596 ล้านบาท
2.อสังหาริมทรัพย์ และเกี่ยวเนื่อง 228 ราย มูลค่าความเสียหาย 8,890 ล้านบาท
3.ธุรกิจขนส่งทางบก 11 ราย มูลค่าความเสียหาย 32 ล้านบาท
4.ธุรกิจอื่นๆ 477 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,976 ล้านบาท
ทั้งนี้ข้อมูลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 5 อันดับแรกของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปี 2567 พบว่า
- อันดับ 1 กรุงเทพฯ มีจำนวนนักท่องเที่ยว จำนวน 30.80 ล้านคน
- อันดับ 2 จ.ชลบุรี จำนวน 15.51 ล้านคน
- อันดับ 3 จ.กาญจนบุรี 14.70 ล้านคน
- อันดับ 4 จ.ประจวบคีรีขันธ์ 10.83 ล้านคน
- อันดับ 5 จ.เพชรบุรี 10.72 ล้านคน
โดยนักท่องเที่ยวจีนมาท่องเที่ยวเป็นอันดับ 1 ถึง 6.73 ล้านคน เมื่อเทียบกับทุกประเทศ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับกรุงเทพธุรกิจว่า ปี 2568 กรมฯ มีแผนตรวจสอบธุรกิจที่มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นนอมินี มีเป้าหมายตรวจสอบนิติบุคคล 26,830 ราย เน้นธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ธุรกิจค้าที่ดิน และอสังหาฯ ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ต โลจิสติกส์ และการขนส่ง แพลตฟอร์มออนไลน์ และคลังสินค้า
“กรมฯ จะพุ่งเป้าทุกจังหวัด ตามที่ได้รับการร้องเรียนจากภาคเอกชน หรือมีข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันไม่ให้คนต่างด้าวมาแอบอ้างใช้คนไทยเป็นนอมินี และทำธุรกิจที่สงวนไว้ให้กับคนไทย”
ส่วนผลการตรวจสอบนอมินีปี 2567 ซึ่งกรมได้ดำเนินการตรวจสอบทั้งสิ้นจำนวน 26,019 ราย ใน 4 ธุรกิจ คือ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง , ธุรกิจค้าที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ , ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และธุรกิจโลจิสติกส์ และขนส่ง
ทั้งนี้ ได้คัดกรองตรวจสอบอย่างเข้มข้นเหลือ 498 ราย และยุติเรื่องไปแล้ว 371 ราย เพราะไม่พบความเสี่ยง ส่วนอีก 64 ราย ได้แจ้งข้อกล่าวหากระทำผิดเกี่ยวกับบัญชี
รวมทั้งได้ส่งเรื่องต่อให้กรมสรรพากรดำเนินการแล้ว และอยู่ระหว่างตรวจสอบอีก 63 ราย ซึ่งในจำนวนนี้ พบว่ามี 4 ราย ที่ต้องสงสัยว่าอาจเข้าข่ายเป็นนอมินี อยู่ในกรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล และจะส่งต่อให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายขยายผลการตรวจสอบต่อไป
“รัสเซีย” ลงทุนธุรกิจอสังหาฯ ภาคใต้
นายสลิล โตทับเที่ยง รักษาการประธานหอการค้าจังหวัดภาคใต้ กล่าวว่า การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่อยู่ที่เกาะสมุย และภูเก็ต ด้านอสังหาฯ คอนโด ที่พักอาศัย โดยส่วนใหญ่เป็นรัสเซียที่ซื้ออสังหาฯ
อีกทั้ง บางคนซื้อคอนโดมิเนียม เพื่อเป็น "บ้าน" หลังที่ 2 เพราะเห็นว่า มีความปลอดภัย คนไทยมีอัธยาศัยดี อย่างกรณีภูเก็ต ขณะนี้มีโครงการก่อสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาจทำให้มีนักลงทุนต่างชาติมองเรื่องการลงทุนมากขึ้น
“ส่วนใหญ่เป็นคนไทยที่มาลงทุนในธุรกิจ จะมีบ้างก็เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ร้านอาหาร ร้านอุปกรณ์ดำน้ำ ในลักษณะมาแต่งงานกับคนไทยแล้วก็ทำธุรกิจ และด้วยความชำนาญด้านภาษา เทคโนโลยี ก็เป็นโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งก็เปิดกว้างรับได้ ส่วนอาซีพสงวนต้องไม่เปิดให้ต่างชาติทำ เช่น มัคคุเทศก์” นายสลิล กล่าว
นโยบายรัฐเอื้อต่างชาติถือสินทรัพย์นาน
นายสลิล กล่าวว่า แต่หากเป็นธุรกิจลงทุนขนาดใหญ่ประชาชนในพื้นที่จะจับตามองเป็นพิเศษ เพราะหวงทรัพยากร หากจะทำธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจจะเพิ่มขึ้นเพราะรัฐบาลเปิดช่องให้ เช่น การเช่าซื้ออสังหาฯ ระยะยาว 99 ปี
ปัจจุบันการท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดฝั่งอันดามัน เช่น ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสุราษฎร์ธานี มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และใช้ระยะเวลาในการท่องเที่ยวเพิ่ม เช่น จังหวัดกระบี่ ปีที่แล้วนักท่องเที่ยวมาเที่ยวในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ปีนี้อยู่ยาวไปถึงเดือนมี.ค. เม.ย. ถือเป็นสัญญาณที่ดี ส่วนจังหวัดอื่นที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อย กำลังซื้อก็ลดลง ยิ่งเป็นจังหวัดที่พึ่งพานักท่องเที่ยวไทย เช่น จ.ตรัง พัทลุง และนครศรีธรรมราช บางพื้นที่ ที่เจอภัยแล้งก็ทำให้นักท่องเที่ยวมาน้อย
ธุรกิจต่างชาติเมืองท่องเที่ยวลาม “ความมั่นคง”
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า สถานการณ์ชาวต่างชาติลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาสังคม และปัญหาความมั่นคงตามมา ประเด็นสำคัญคือ เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ทุกคนรู้ว่ามีคนไทยเป็นนอมินีให้
ซึ่งตรวจสอบได้ว่าคนไทยที่เข้ามาถือหุ้นในธุรกิจนั้นๆ สัดส่วนมากกว่า 51% เอาเงินจากไหนมาลงทุน ทั้งนี้มองว่าการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ ควรเป็นการลงทุนใหม่ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากกว่า ไม่ใช่การเปลี่ยนมือเทคโอเวอร์เพียงอย่างเดียว
ส่วนกรณีการนำคอนโดมิเนียมมาปล่อยเช่าห้องพักรายวันแบบผิดกฎหมายแข่งกับโรงแรม โดยบางแห่งเกิดปัญหาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติก่อความรำคาญให้ผู้อยู่อาศัย เช่น ปกติจะเข้าพักกัน 1-2 คนต่อห้อง แต่มาพักจริงอาจถึง 10 คน
สำหรับการปล่อยเช่ารายวันเกิดขึ้นมากที่สุดใน ภูเก็ต และกรุงเทพฯ โดยรูปแบบการทำธุรกิจผิดกฎหมายใน จ.ภูเก็ต มักจะมาจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่เป็นชาวต่างชาติ ปล่อยเช่ารายวันคอนโดฯ และพูลวิลล่าให้กับนักท่องเที่ยวจากชาติเดียวกัน
ขณะที่กรุงเทพฯ มีทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติซื้อห้องชุดยกชั้นเพื่อปล่อยเช่ารายวันแบบผิดกฎหมาย นอกจากนี้กลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงยังขยายการลงทุนไปยังประเภทบ้านเดี่ยว เช่น ทุนจีน ที่ซื้อบ้านหรูเกือบทั้งโครงการ และจัดบริการรถบัสรับ-ส่งนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ ด้านพัทยา จ.ชลบุรี เคยมีนอมินีต่างชาติทำโรงแรมรองรับกรุ๊ปทัวร์ แต่ปัจจุบันกรุ๊ปทัวร์ลดลง ทำให้นอมินีต่างชาติได้รับผลกระทบตามไปด้วย
“ตอนนี้มีคนต่างชาติบางกลุ่มซื้อโครงการบ้านเดี่ยวเกือบทั้งโครงการ และคอนโดฯ ซื้อห้องชุดยกชั้น ถามว่าใช่การซื้อเพื่อเข้าพักเองหรือไม่ จะนอนเองทั้งหมดได้อย่างไร ดังนั้นรัฐบาลควรออกกฎหมายมากำหนดให้ชัดว่าชาวต่างชาติหนึ่งคนสามารถซื้อที่พักอาศัยได้สูงสุดกี่ยูนิต”
ไม่มีโครงสร้างเหมาะสมรับต่างชาติลงทุนระยะยาว
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า ปัญหาการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมรายวันที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย โดยเฉพาะการที่เจ้าของคอนโดมิเนียมบางรายใช้วิธีการเช่าเป็นทัวร์จากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดทางกฎหมาย ซึ่งทำให้มีลูกค้าเข้ามาในคอนโดมิเนียมแบบกลุ่มทัวร์จำนวนมาก โดยไม่ให้ความสนใจกับผลกระทบกับธุรกิจโรงแรมไทย ทั้งที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขัดต่อ พ.ร.บ.อาคารชุด
แนวทางการแก้ปัญหาคือ การบังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัด เจ้าหน้าที่ต้องมีอำนาจในการตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมาย
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทยกล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นในอนาคต เพราะไทยถือเป็นตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก (Global Property) ที่สามารถรองรับความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาคือ ไทยกลับไม่มีโครงสร้างที่เหมาะสมในการรองรับการลงทุนจากต่างชาติในระยะยาว
จึงต้องการให้จัดระเบียบตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยวางโครงสร้างรองรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพในการลงทุนอย่างยั่งยืน เช่น เพิ่มสัดส่วนการถือครองอาคารชุดของชาวต่างชาติจาก 49% เป็น 75% โดยจำกัดพื้นที่ และการจัดเก็บภาษีจากการถือครอง และเช่าระยะยาวเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุน และการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนไทย
ซึ่งไม่เพียงแก้ไขปัญหาคอนโดศูนย์เหรียญที่กำลังเป็นปัญหา แต่ยังเป็นการวางโครงสร้างทางกฎหมาย และภาษีเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอสังหาริมทรัพย์ระยะยาว และสนับสนุนการมีที่อยู่อาศัยสำหรับคนไทยในกลุ่มรายได้น้อยถึงปานกลาง
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ต้องการ การสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงกฎหมายเพื่อสนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติหรือการสร้างระบบภาษีที่เป็นธรรม
ในยุคที่ตลาดอสังหาฯ แข่งขันสูง การสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ และการปกป้องสิทธิของคนไทยจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างจริงจัง และการจัดระเบียบในเรื่องการเช่าคอนโดมิเนียมรายวันตามกฎหมายคือ ก้าวแรกสำคัญที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
วอนรัฐปรับลดวันพัก “วีซ่าฟรี”
นายเทียนประสิทธิ์ กล่าวว่า เอกชนท่องเที่ยวเห็นด้วยกับรัฐบาลเรื่องมาตรการยกเว้นวีซ่า (วีซ่าฟรี) ให้ 93 ประเทศ แต่พอเกิดปัญหาชาวต่างชาติเข้ามาอยู่ในไทยนานเกินไป และพบมีการทำธุรกิจแบบผิดกฎหมาย แย่งงานแย่งอาชีพคนไทย ประกอบกับชาวต่างชาติที่เข้ามาเพื่อท่องเที่ยวจริงๆ ส่วนใหญ่อยู่ไม่เกิน 15 วัน จึงอยากให้พิจารณาทบทวนปรับลดวันพำนักในไทยสูงสุดจากไม่เกิน 60 วัน เป็นไม่เกิน 30 วันแทน
นายศิษฎิวัชร ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า ต้องการให้ปรับลดวันพำนักในไทยสูงสุดเหลือ 30 วัน เพราะปัญหาตอนนี้คือ การดูแลด้านความมั่นคง ตามไม่ทันการเติบโตของนักท่องเที่ยวจากมาตรการหนุนเรื่องยกเว้นวีซ่า
“สำหรับชาวต่างชาติต้องตรวจสอบว่าเป็นนักท่องเที่ยวจริงหรือไม่ เพราะตอนนี้เกิดปัญหาหลายกรณีกระทบต่อความมั่นคง กฎหมายไทยต้องศักดิ์สิทธิ์ บังคับใช้กฎหมายต้องตรงไปตรงมา โดยชาวต่างชาติบางส่วนมองว่าประเทศไทยนั้นง่าย ขอแค่มีเงิน ทำอะไรก็ได้ ซึ่งถือเป็นคำพูดที่รุนแรงมาก มันทำให้ประเทศไทยไม่สามารถก้าวสู่อีกระดับได้"
นายศิษฎิวัชร กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับทางการจีนปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ในประเทศเมียนมา แต่สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนยังไม่ดีขึ้น ยังวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยเหมือนเดิม ซึ่งน่ากังวลถึงภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวจีนปีนี้อาจไปไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 8.5-9 ล้านคน
สถิติปี 2562 ก่อนโควิดนักท่องเที่ยวจีนมาไทย 20,000-30,000 คนต่อวัน แต่ปัจจุบันไม่ถึง 10,000 คน คาดว่าทั้งปีนี้จะมีจำนวน 7 ล้านคน ดีกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ซึ่งปิดที่จำนวน 6.7 ล้านคน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







