'นฤมล' ประกาศทำนาเปียกสลับแห้ง ลุ่มเจ้าพระยา ลดใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน

'นฤมล' ประกาศทำนาเปียกสลับแห้ง   ลุ่มเจ้าพระยา ลดใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน

ในการประชุมFirst Movers Coalition ณ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2568 ระหว่างผู้นำของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อแลกเปลี่ยนความสำเร็จและแนวทางในการผลักดันให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว ( Green Procurement )

KEY

POINTS

  • กระทรวงเกษตรฯจะเร่งขยายผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาพื้นที่ 10 ล้านไร่ 
  • ทำนาแบบวิธีประหยัดน้ำ หรือวิธีให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง เป็นหนึ่งในเทคนิคการประหยัดน้ำที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อการปลูกข้าวในเอเชีย

  •  

    การใช้เทคนิคทำนาเปียกสลับแห้งอย่างต่อเนื่องในระดับประเทศจะช่วยสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทยและระบบนิเวศโดยรวม

     

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  ประกาศกลางที่ประชุม ว่า ไทยเริ่มทำนา”แบบเปียกสลับแห้ง”สามารถเพิ่มผลผลิต25-40% ลดการใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน สอดรับนโยบายสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของโลก

'นฤมล' ประกาศทำนาเปียกสลับแห้ง   ลุ่มเจ้าพระยา ลดใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญความท้าทาย ทั้งจากสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน รวมถึงเกษตรกรไทยที่สูงวัยมากขึ้น ทำให้ต้องนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในภาคการเกษตร เพื่อให้เกิดการความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบกับเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศมีอาชีพทำนา ดังนั้น ประเทศไทยจึงได้นำรูปแบบการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง มาทดลองโดยเลือกพื้นที่ ๆ มีความเหมาะสม

การทำนาเปียกสลับแห้งสามารถต่อยอดเป็นคาร์บอนเครดิต ลดผลกระทบจากภัยพิบัติต่าง ๆ และยังเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร สอดรับกับนโยบายของนานาประเทศที่ต้องการสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นไว้ในการประชุมCOP26 การถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องให้กับเครือข่ายเกษตรกรรุ่นใหม่ เช่นSmart Farmers/ Young Smart Farmers/ Agricultural Village Volunteerเพื่อขยายผลองค์ความรู้ให้เกษตรกรในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ดังนั้น  กระทรวงเกษตรฯจะเร่งขยายผลผลิตข้าวคาร์บอนต่ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาพื้นที่ 10 ล้านไร่  โดยการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง และการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนอย่างเหมาะสม รวมถึงลดการเผาตอซังข้าว ด้วยการใช้จุลินทรีย์ เพื่อเร่งการย่อยสลายฟางและตอซังข้าวหลังการเก็บเกี่ยว เป็นทางเลือกให้เกษตรกรลดการเผาเศษวัสดุทางการเกษตร โดยกรมการข้าวมีการพัฒนางานวิจัย เพื่อพัฒนาเชื้อจุลินทรีย์ที่สามารถย่อยสลายตอซังข้าว และลดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนในระหว่างการย่อยสลายตอซังอีกด้วย

'นฤมล' ประกาศทำนาเปียกสลับแห้ง   ลุ่มเจ้าพระยา ลดใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน

สิ่งที่ภาครัฐต้องสนับสนุน คือ  โครงสร้างพื้นฐานในการปรับเปลี่ยนการทำนาแบบดั้งเดิมมาเป็นแบบเปียกสลับแห้ง ทั้งในเรื่องของชลประทาน ตลอดจนการปรับหน้าดินของแปลงนา ปัจจุบัน เรามีกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งความท้าทายสำคัญของประเทศไทย ประการแรก คือ  การสร้างโอกาสให้กับเกษตรกร ให้สามารถปรับเปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิมให้เป็นการผลิตที่ตรงกับความต้องการของตลาด เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตรที่การยกระดับภาคเกษตรไทยให้เป็นเกษตรมูลค่าสูง และส่งเสริมทำเกษตรอย่างยั่งยืน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของโลก

ผลักดันแนวคิด ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยภาครัฐ นำเทคโนโลยีทางการเกษตร (Agri-Tech)มาใช้ เพื่อให้คนในภาคการเกษตรสามารถเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับเกษตรกรไทย

สำหรับ สถานการณ์การแข่งขันกันในเรื่องสินค้าที่ปล่อยคาร์บอนตํ่า เพื่อลดภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขั้นตอนการผลิต ซึ่งข้าวก็เป็นหนึ่งในสินค้าเป้าหมาย ปัจจุบัน มีเกษตรกรผู้ปลูกข้าวกว่า 4.9 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ นาปี - นาปรัง รวมกว่า 70 ล้านไร่  คิดเป็นพื้นที่เกือบกึ่งหนึ่งของพื้นที่ภาคการเกษตรของประเทศไทย จึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อให้การผลิตข้าวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

นายธเนศ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กรมชลประทาน  กล่าวว่า ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาวะของสภาพภูมิอากาศมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย โดยผลจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประเทศไทยประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานาน ส่งผลให้น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนต่างๆ ลดน้อยลง และไม่เพียงพอต่อต่อความต้องการของภาคเกษตร

การนำชลประทานเพื่อการทำนาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดปริมาณการสูญเสียน้ำ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลดีโดยตรงต่อการพัฒนาแหล่งน้ำในอนาคตการปลูกข้าวในแปลงนา แบบวิธีประหยัดน้ำ หรือวิธีให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง (Alternative Wetting and Drying Method; AWD)  เป็นหนึ่งในเทคนิคการประหยัดน้ำที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อการปลูกข้าวในเอเชียและเป็นวิธีการจัดการน้ำชลประทานที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสำหรับการปลูกข้าวในพื้นที่นาชลประทานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเกิดก๊าซมีเทนในนาข้าวน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกข้าวแบบวิธีดั้งเดิม 

ปี 2567 กรมชลประทาน Thaicid และ Inwepf เตรียมขยายผลการทำนาแบบใช้น้ำน้อยหรือ"การทำนานาแบบเปียกสลับแห้ง' เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยและของโลก ตามแนวทางนโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่นำแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG มาใช้เป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาภาคการเกษตร โดยนำเอาความรู้และความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับทรัพยากรชีวภาพและผลผลิตทางการเกษตร หรือที่เรียกว่า “ทำน้อย แต่ได้มาก”

“ผลการวิจัยการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ได้ผลสรุปว่า สามารถประหยัดน้ำทำได้สูงสุดถึง 33% ดังนั้นหากมีการนำเทคนิคการให้น้ำแบบเปียกสลับแห้งดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ก็จะสามารถประหยัดน้ำในการทำนาปรังได้ 3,760 ล้านลูกบาศก์เมตร หากนำปริมาณน้ำจำนวนดังกล่าวไปใช้ขยายหรือเพิ่มเนื้อที่เพาะปลูกข้าวนาปรังก็จะสามารถขยายเพิ่มได้อีกทั้งสิ้น เท่ากับ 3.20 ล้านไร่”

'นฤมล' ประกาศทำนาเปียกสลับแห้ง   ลุ่มเจ้าพระยา ลดใช้น้ำ ลดก๊าซมีเทน

การทำนาแบบเปียกสลับแห้งเป็นนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เกษตรกรรมยุคใหม่ ซึ่งไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการผลิต แต่ยังช่วยรักษาทรัพยากรน้ำและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  

การส่งเสริมและขยายการใช้เทคนิคนี้อย่างต่อเนื่องในระดับประเทศจะช่วยสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทยและระบบนิเวศโดยรวมเกษตรกรมีกำไรเพิ่มขึ้นและที่สำคัญทำ ให้คุณภาพชีวิตของชาวนาดีขึ้น เยาวชนรุ่นหลังๆ หันมาสนใจการทำนา ซึ่งจะเป็นการรักษาพื้นที่ชลประทาน ให้คงที่ เกิดความสามัคคีในชุมชนที่ไม่ต้องแย่งน้ำกันต่อไป