กระแสการลงทุนData Center ใน EEC สร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการไทย

พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก ซึ่งในระยะข้างหน้า โรงงานเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยน
แนวทางการดำเนินธุรกิจไปสู่ระบบดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการใช้ระบบ Cloud ในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลจากการใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ประกอบกับมีความพร้อมด้านระบบโทรคมนาคม จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดให้บริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นนำของโลกเข้ามาลงทุน Data Center ในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น ปัจจุบัน ผู้ประกอบการใน EEC ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และปิโตรเคมี ซึ่งค่อนข้างมีความพร้อมด้านเงินทุนและบุคลากร อีกทั้งยังได้รับประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยี IoT ในการติดตามการทำงานของเครื่องจักรแบบ Real Time เพื่อปรับปรุงหรือลดการซ่อมบำรุง เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล่านี้มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงเครื่องจักรสูงกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ จึงทำให้ผู้ประกอบการใน EEC มีแนวโน้มที่จะใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งจัดเก็บและประมวลข้อมูลจากการใช้ IoT ในระบบคลาวด์มากขึ้น ผนวกกับระบบโทรคมนาคมที่สามารถให้บริการโครงข่าย 5G คลอบคลุมพื้นที่ EEC ได้ทั้งหมด ทำให้องค์กรต่างๆใน EEC สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว จากปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ให้บริการ Data Center และระบบ Cloud ชั้นนำของโลก เช่น Amazon SUPERNAP TikTok และ CtrlS ได้แสดงความสนใจเข้ามาลงทุนพัฒนา Data Center ใน EEC แล้ว ในช่วงที่ผ่านมา
Krungthai COMPASS คาดว่า การพัฒนา Data Center ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลกในไทย ซึ่งรวมถึง EEC จะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนเบื้องต้น ราว 2.41 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2567-71 ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนา Data Center เช่น ผู้ให้บริการก่อสร้างโครงสร้างและอาคารของ Data Center และผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าและ IT ใน Data Center มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการให้บริการก่อสร้างรวมทั้งจัดจำหน่ายอุปกรณ์ไอทีและระบบไฟฟ้าใน Data Center ให้กับบริษัทที่เข้ามาลงทุน Data Center ในพื้นที่ EECรวมถึงพื้นอื่นๆของไทย
เม็ดเงินลงทุนในการพัฒนา Data Center ที่กล่าวมาในข้างต้น คาดว่าจะมีส่วนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนา Data Center ของไทย มีรายได้เพิ่มขึ้นราว 9.26 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2567-71 โดยธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์ดังกล่าวมากที่สุดคือ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโครงสร้างและอาคาร ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ราว 3.60 หมื่นล้านบาท รองลงมา คือ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าใน Data Center และผู้จัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งระบบเครือข่าย ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้จากการจัดจำหน่ายและให้บริการติดตั้งอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าและระบบเครือข่ายให้ Data Center ดังกล่าวราว 3.19 หมื่นล้านบาท และ 2.47 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่ต้องการรับงานก่อสร้าง Data Center จากบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของโลก ควรมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการก่อสร้าง Data Center อย่างน้อย 3-5 ปี และมีใบรับรองมาตรฐานเกี่ยวกับการก่อสร้าง Data Center เช่น ISO 45001 ISO 9001 และ ISO 14001 เนื่องจากบริษัทด้านเทคโนโลยีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะใช้บริการจากผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีคุณสมบัติที่กล่าวข้างต้น สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าและระบบเครือข่ายให้บริษัทที่เข้ามาลงทุน Data Center ในไทย ควรเป็นผู้แทนจำหน่ายอุปกรณ์ดังกล่าวของแบรนด์ชั้นนำของโลก เช่น Schneider CISCO เพราะบริษัทด้านเทคโนโลยีเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ระบบไฟฟ้าและระบบเครือข่ายของแบรนด์ชั้นนำของโลกมาติดตั้งใน Data Center ของบริษัท







