กกพ. ชงนายกฯ แก้สัญญาปี 51 ยึดต้นทุนจริง ลดค่าไฟทันที 17 สตางค์

บอร์ด กกพ. แนะ "กพช." สั่งแก้สัญญาโรงไฟฟ้ากดค่าไฟลง 17 สตางค์ เชื่อทำได้!! กฎหมายปกครองคุ้มครองมหาชน เหนือสิทธิสัญญา ช่วยประชาชนประหยัดปีละ 3.3 หมื่นล้านบาท ชี้เอกชนคุ้มทุนได้มาพอแล้ว รับซื้อแพงตราบฟ้าดินสลาย ขอให้คำนวณตามต้นทุนจริง
นายวรวิทย์ ศรีอนันต์รักษา กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยถึงกรณีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า แนวทางการปรับลดค่าไฟหน่วยละ 17 สตางค์ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ที่เสนอให้ทบทวนเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP)
ซึ่งได้รับการต่อสัญญา และให้ได้รับการอุดหนุนส่วนต่างต้นทุน (Adder) และมาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (FiT) จากผู้ผลิตไฟฟ้า ไม่สามารถทำได้ พร้อมกับเปรียบเทียบว่าเป็นสัญญาชั่วนิรันดร์ หากยกเลิกจะถูกเอกชนฟ้องร้องว่า ตนพูดในนามส่วนตัวยืนยันว่า กกพ.ทำให้ลดค่าไฟฟ้าลดลงหน่วยละ 17 สตางค์ได้ โดยให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ออกมติทบทวนการต่ออายุโครงการที่ต่ออายุสัญญาทุก 5 ปี ให้คำนวณอัตราสะท้อนข้อเท็จจริง
โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นหน่วยงานกลางในการคำนวณ เช่น สนพ.คำนวณราคาปี 2565 ราคาโซลาร์อยู่ที่หน่วยละ 2.1679 บาท ราคาพลังงานลมเหลือ 3.10 บาท ซึ่งรัฐสามารถทำได้ตามกฎหมายปกครอง ที่ให้คุ้มครองผลประโยชน์ของมหาชน มีสิทธิเหนือกว่าสัญญา
อย่างไรก็ตาม สัญญาเดิมเป็นสัญญาทาสชั่วฟ้าดินสลายที่ทำมาตั้งแต่ปี 2551 ช่วงนั้นที่ต้องประกาศราคารับซื้อราคาสูง เพราะราคาอุปกรณ์ต่างๆ ในการผลิตไฟฟ้าสีเขียวราคาสูง ต้องการจูงใจให้เอกชนเข้าร่วมโครงการ จึงรับซื้อในราคาสูงประมาณหน่วยละ 9-12 บาท ซึ่งจะมีการต่ออายุทุก 5 ปี ตอนนี้ผู้ประกอบการกลุ่มนั้นราคารับซื้อจะอยู่ที่ประมาณหน่วยละ 4 บาท นิดๆ เป็นราคาขายส่งหน่วยละ 3.29 บาท บวกค่าเอฟที 90 สตางค์กว่าๆ ถือว่ายังแพงอยู่ดี
"ต้นทุนที่ สนพ.คำนวณมาราคาหน่วยละ 2.16 บาทเท่านั้น ซึ่งเอกชนกลุ่มดังกล่าวคืนทุนหมดแล้ว ได้กำไรไปเยอะแล้ว จึงเห็นควรต้องทบทวนที่ต้องต่ออายุสัญญาทุก 5 ปี ไม่มีประเทศไหนเขาทำสัญญาทาสแบบนี้ หาก กพช. กำหนดนโยบายปรับค่าไฟฟ้ารับซื้อในส่วนนี้ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง จะช่วยลดค่าไฟฟ้าได้ทันทีหน่วยละ 17 สตางค์ เช่น หากค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.15 บาท จะเหลือหน่วยละ 3.89 บาท จากประมาณการตลอดทั้งปี 2568 คาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้า 195,000 ล้านหน่วย หากลดได้หน่วยละ 17 สตางค์ ประชาชนจะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้ 33,150 ล้านบาท”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กกพ. มีหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 มาตรา 65 ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และคำนึงถึงผลตอบแทนที่เหมาะสมของการลงทุนของการประกอบกิจการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ จึงมีมติตั้งแต่เดือนต.ค.2565 เสนอความเห็นต่อ รมว.พลังงาน ขอให้ฝ่ายนโยบายจัดการกับต้นทุนค่าไฟฟ้าในส่วนค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐ (โพลิซี เอ็กซ์เพน) ทั้งโครงการ Adder และ FiT
เนื่องจากมองว่า ต้นทุนทั้ง 2 ประเภท ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง สูงเกินจริงไปมากมีต้นทุนการรับซื้อไฟฟ้าสูงกว่าราคาต้นทุนจริงในภาวะปัจจุบัน และโครงการผลิตไฟฟ้าแบบแอดเดอร์ดังกล่าวไม่มีวันสิ้นสุดสัญญา ส่งผลให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น
“ถ้านายทุนฟ้องรัฐบาล ผมพร้อมจะสู้ ผมขอฝากให้กำลังใจนายพีระพันธุ์ อย่าท้อถอย ผมรู้ว่า ท่านตั้งใจทำงาน เรื่องสัญญาทาสอยากให้แก้จริงๆ นายทุนได้ไปพอสมควรแล้ว ควรต้องกลับมาคำนวณตามต้นทุนแท้จริงได้แล้ว”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และพลังงานหมุนเวียน ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในรูปแบบ Adder และ FiT มีกว่า 500 แห่ง ประมาณ 4,000 เมกะวัตต์ เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ได้รับ Adder ที่อัตราหน่วยละ 8 บาท ระยะเวลา 10 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2554 สิ้นสุดปี 2565, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ได้รับ Adder ที่อัตราหน่วยละ 6.50 บาท ระยะเวลา 10 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2556 สิ้นสุดปี 2569, โรงไฟฟ้าพลังงานลม ได้รับ Adder ที่อัตราหน่วยละ 3.50 บาท ระยะเวลา 10 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2555 สิ้นสุดปี 2572
โรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ ได้รับแอดเดอร์ที่อัตราหน่วยละ 3.50 บาทระยะเวลา 7 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2558 สิ้นสุดปี 2568, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการอุดหนุนแบบเอฟไอที อัตราคงที่หน่วยละ 5.66 บาทต่อหน่วย (ตลอดอายุสัญญา) เริ่มตั้งแต่ปี 2558 สิ้นสุดปี 2583
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์