กกพ.เปิดรับฟังความเห็น 7 มี.ค.นี้ ลุ้นลดค่าไฟงวดใหม่เหลือ 3.98 บาท

กกพ.เปิดรับฟังความเห็น 7 มี.ค.นี้ ลุ้นลดค่าไฟงวดใหม่เหลือ 3.98 บาท

กกพ. ทำแผนลดค่าไฟงวดพ.ค.- ส.ค.68 ลดลง อีก 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาทเป็นไปได้ ส่วนลด 40 สตางค์ตามนโยบาย "พีระพันธุ์" ต้องหารือร่วม พร้อมดันไฟสะอาดเต็มรูปแบบเสร็จก่อนสิ้นปี

นายพูลพัฒน์ ลีสมบัติไพบูลย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการปรับลดค่าไฟ 17 สตางค์ต่อหน่วยจากงวดปัจจุบัน (ม.ค.- เม.ย.2568) ที่ 4.15 บาทของสำนักงาน กกพ.เป็นเรื่องนโยบาย ที่ต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือเป็นแนวโน้มที่สามารถทำได้

ส่วนการปรับลดค่าไฟลง 40 สตางค์ต่อหน่วย ถือเป็นนโยบายของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงต้องรอดูข้อมูลทั้งหมดว่าจะลดในส่วนใดได้บ้าง โดยสำนักงาน กกพ.พร้อมร่วมสนับสนุน

สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนพ.ค.- ส.ค.2568 ต้องรอดูต้นทุนค่าเชื้อเพลิงประเภทเชื้อเพลิง และอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเงินบาทว่าเป็นอย่างไร ประกอบการพิจารณา ซึ่ง กกพ. จะเปิดรับฟังความคิดสาธารณะเห็นวันที่ 7 มี.ค.2568 นี้ โดยใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนประกาศอัตราค่าไฟให้มีความชัดเจนอีกครั้ง

"ค่าไฟงวดใหม่จะเป็นเท่าไร ก็ต้องหารืออีกครั้งซึ่งปัจจุบันยังมีค่า Ft กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อีกราว 80,000 ล้านบาท และ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) อีก 15,000 ล้านบาท ดังนั้น การจะคิดค่าไฟในแต่ละงวดจะต้องได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วน"

ทั้งนี้ กกพ. มีหน้าที่นำเสนอทางเลือกตามความเป็นจริงเพื่อหาทางออกที่เหมาะสมที่สุดไม่ให้กระทบกับประชาชน ขณะนี้ กกพ. อยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบ และโครงสร้างพื้นฐานด้านการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ

โดยมีเป้าหมายในการรักษาสมดุลในภาคพลังงานคู่ขนานกับการเพิ่มการแข่งขันในกิจการไฟฟ้าและกิจการก๊าซธรรมชาติ รองรับการเปิดเสรีในอนาคต เพื่อให้เปลี่ยนผ่านได้อย่างราบรื่น และยั่งยืนในระยะยาว โดยในปี 2568 จะมุ่งดำเนินการใน 4 ประเด็นหลักประกอบด้วย

1. การผลักดันการสร้างตลาดกลาง (Market Place) เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสีเขียว สนับสนุนการซื้อขายพลังงานสีเขียว ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณความต้องการพลังงานสีเขียวเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตามทิศทางพลังงานสากล 

2. การเตรียมความพร้อมด้านกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการกำกับดูแล และสร้างความคล่องตัวในกระบวนการรับรองไฟฟ้าสีเขียว

3. การสร้างความร่วมมือ และการแข่งขันที่เป็นธรรม เพื่อให้พลังงานความมั่นคง และเอื้อต่อการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของประเทศ เชื่อมโยงกับสากลได้

4. การเป็นกลไกกำกับกิจการพลังงานที่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีด้านพลังงานได้อย่างรวดเร็ว รองรับได้ทั้งรูปแบบพลังงานใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นรวมถึงรองรับปริมาณความต้องการพลังงานในอนาคตของผู้ใช้พลังงาน

“เราอยู่ในเทรนด์ของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจากพลังงานดั้งเดิมไปสู่พลังงานหมุนเวียน เทคโนโลยีเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน และพลังงานสะอาดเปลี่ยนเร็วมาก เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสุดท้ายคือ ให้พลังงานสะอาดเข้ามาทดแทนพลังงานดั้งเดิมได้ทั้งหมด และต้องตอบโจทย์ของการทำให้เกิดความมั่นคง และความมีเสถียรภาพให้ได้ วันนี้เทคโนโลยีไปถึงเป้าหมายแล้ว แต่ราคายังไม่สามารถไปถึงเป้าหมาย เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนบางอย่าง เช่น แสงแดด และลม ถูกลงเรื่อยๆ แต่บางชนิดก็ยังแพง เช่น ไฮโดรเจนสีเขียว หรือเรียกสั้นๆ ว่า กรีนไฮโดรเจน และเทคโนโลยีการกักเก็บพลังงาน ก็ยังแพงอยู่มากสำหรับประเทศไทย”

นายพูลพัฒน์ กล่าวว่า การกำกับกิจการพลังงานของไทยอยู่ภายใต้หลายๆ ปัจจัยหลักหลายๆ อย่างที่ยังมีความย้อนแย้งกันเองอยู่ การที่ไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนา ขนาดเศรษฐกิจ และรายได้ประชากรยังไม่ได้สูงเท่ากับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ระดับราคาพลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้าที่เป็นพลังงานพื้นฐานต้องอยู่ในอัตราที่เหมาะสมประชาชนผู้ใช้พลังงานส่วนใหญ่ของประเทศ และรับได้ เป็นข้อจำกัดที่ยังไม่สามารถนำเอาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน หรือระบบกักเก็บพลังงานใหม่ๆ เข้ามาสู่ระบบได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่สามารถผลักภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นให้กับประชาชนได้ทั้งหมดในทันที

ในขณะที่อีกด้านหนึ่งประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนาระดับเดียวกันกับเราหลายประเทศต่างเผชิญกับกระแสของการกดดัน และกีดกันการใช้พลังงานฟอสซิลจากกลุ่มประเทศผู้นำเศรษฐกิจของโลก ที่มีความจำเป็นต้องเอาตัวรอดจากมาตรการกีดกันทางการค้าด้วยภาษี อย่างเช่น มาตรการ CBAM และคาดว่าจะมีมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีใหม่ๆ ทยอยประกาศใช้ตามมาอย่างเข้มข้นมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากความตกลงของประเทศมหาอำนาจที่ไม่เป็นไปในทิศเดียวกัน

นอกจากนี้ ความจำเป็นที่ต้องพัฒนา และมีแหล่งพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่องในระดับราคา และเงื่อนไขที่ดีกว่าประเทศคู่แข่งขัน เพื่อเป็นการจูงใจสนับสนุนให้เกิดการขยายการลงทุนให้กับธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่เพื่อสร้างโอกาสให้กับภาคเศรษฐกิจของประเทศในอีกด้านหนึ่งด้วย 

สำหรับแผนงานในปี 2568 ภายใต้กรอบ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การเริ่มให้บริการ-ไฟฟ้าสีเขียวแบบผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เจาะจงแหล่งที่มา (UGT1) ในเดือนเม.ย.2568 ซึ่ง กฟผ. กฟน. และ กฟภ. จัดเตรียม UGT1 ไว้รองรับความต้องการเป็นปริมาณรวมประมาณ 2,000 ล้านหน่วยต่อปี

สำหรับการเปิดให้บริการไฟฟ้าสีเขียวแบบผู้ใช้ไฟฟ้าเจาะจงแหล่งที่มา (UGT2) ที่รองรับความต้องการเป็นปริมาณรวมประมาณ 8,000 ล้านหน่วยต่อปี จะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าลงทะเบียนสมัครใช้บริการภายในเดือนมิ.ย. 2568 

รวมถึงการกำหนดกฎเกณฑ์ และแนวทางในการรับรองแหล่งที่มาของไฟฟ้าสีเขียวตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นสะพานไปสู่การพัฒนาตลาดไฟฟ้าสีเขียว และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องในอนาคต

2. กำกับกิจการไฟฟ้าตามนโยบายโครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Direct PPA ได้แก่ จัดทำหลักเกณฑ์ และแนวทางการกำหนดอัตราค่าบริการ การใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่สาม และการกำกับติดตามการเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่ 3 (TPA Code) ตามนโยบาย Direct PPA คาดว่าแล้วเสร็จภายในก.ย. 2568

3. กำกับกิจการก๊าซธรรมชาติตามแนวทางการส่งเสริมการแข่งขันกิจการก๊าซธรรมชาติ ระยะที่ 2 โดย จัดทำแนวทางการบริหารการใช้ LNG Terminal แบบเสมือน (Virtual Inventory) และเสนอต่อภาคนโยบายภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น และประสิทธิภาพในการใช้งาน LNG Terminal ร่วมกันระหว่างผู้ใช้บริการหลายราย

ตลอดจนจัดทำระบบข้อมูลราคาก๊าซ (Pool Gas) ทั้งประมาณการราคา และราคา Pool Gas จริง เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้ใช้พลังงานสามารถเข้าถึงข้อมูล และนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ในมิติของความมั่นคงทางพลังงาน ภายหลังจากที่ กกพ. มีการออกระเบียบ กกพ. ว่าด้วยมาตรฐานวิศวกรรม และความปลอดภัยในการประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567 ก็จะมีการกำกับผู้รับใบอนุญาตที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านก๊าซธรรมชาติ ให้ดำเนินการตามมาตรฐานที่กำหนดภายในปี 2568 

4. ดำเนินการพัฒนากลไกการกำกับกิจการพลังงานเพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีพลิกโฉม โดยดำเนินการศึกษารูปแบบการดำเนินการสำหรับ Disruptive Technology ต่างๆ ในต่างประเทศ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้สำหรับประเทศไทย ได้แก่ การตอบสนองด้านโหลด (Demand Response), Microgrid, RE Forecast, Aggregator, Battery Storage และ EV

และจัดทำข้อกำหนดหรือปรับปรุงแก้ไขระเบียบหรือหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องรองรับ Disruptive Technology ต่างๆ รวมถึงจัดทำคู่มือการกำกับกิจการพลังงานรองรับ Disruptive Technology ตามแผนการขับเคลื่อน Smart Grid คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จภายในกันยายน 2568

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์