ไทย-อินเดีย’ กลุ่มเสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี นายกฯ เร่งสรุปแผนเจรจาชง ครม.

“ไทย-อินเดีย” เสี่ยงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารุนแรง อาจถูกสหรัฐขึ้นภาษี 6% “แพทองธาร” สั่งเร่งทำมาตรการรับมือ เสนอ ครม.สัปดาห์หน้า เปิดองค์ประกอบ คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐ ปลัดพาณิชย์ ประธาน “หอการค้า” ชี้สหรัฐอ้างขึ้นภาษีทุกประเด็น แนะรับมือเจรจาให้พร้อม
มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” เริ่มจากการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้นจากแคนาดา เม็กซิโกและจีน โดยมีผลไปแล้วในเดือน ก.พ.2568 ส่งผลให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เช่น ผัก ผลไม้สด, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, รถยนต์, เสื้อผ้าแฟชัน รวมทั้งมีการขึ้นภาษีสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า 25% จากทุกประเทศ
ขณะนี้ทั่วโลกกำลังจับตามองผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีที่จะมีผลกระทบต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐ โดยเฉพาะประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐสูง
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานคำเตือนของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ว่า สงครามการค้าขั้นต่อไปของ “ทรัมป์” จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั่วภูมิภาคเอเชีย โดย "อินเดียและไทย” มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบรุนแรง จากนโยบายการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ทางการค้าที่ทรัมป์ได้ลั่นวาจาไว้
โซนัล วาร์มา นักวิเคราะห์จากโนมูระโฮลดิ้ง ชี้ให้เห็นว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียมีอัตราภาษีศุลกากรที่เรียกเก็บจากสินค้าส่งออกของสหรัฐสูงกว่าค่าเฉลี่ย และมีความเสี่ยงที่จะถูกตอบโต้ด้วยภาษีศุลกากรที่สูงกว่าเช่นกัน โดยวาร์มาคาดการณ์ว่าประเทศเหล่านี้จะเร่งเจรจาทางการค้ากับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรก ทรัมป์ได้พยายามผลักดันกฎหมายการค้าใหม่ที่เรียกว่าการเก็บภาษีสินค้านำเข้าตอบโต้ (US Reciprocal Trade Act) ซึ่งกฎหมายนี้จะให้อำนาจทรัมป์ในการตั้งอัตราภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าทุกประเทศ โดยสามารถกำหนดได้ทีละรายการสินค้า
นับตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ทรัมป์ก็ยังยืนยันจุดยืนเดิม โดยสัญญาว่าจะเก็บภาษีในอัตราเดียวกัน
“ถ้าประเทศไหนเก็บภาษีจากสหรัฐ สหรัฐก็จะเก็บภาษีจากประเทศนั้น ตาต่อตา ภาษีต่อภาษี ในจำนวนที่เท่ากันทุกบาททุกสตางค์”
ไทยเสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี 6%
นักวิเคราะห์ที่ศึกษาเรื่องการเก็บภาษีระหว่างประเทศประมาณการว่า ทั้งอินเดียและไทยต่างเรียกเก็บภาษีจากสหรัฐสูงกว่า เมื่อเทียบกับภาษีที่สหรัฐเก็บจากสินค้านำเข้าจากทั้งสองประเทศนี้ อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่าจะใช้นโยบายตอบโต้อะไร และจะเล็งเป้าไปที่ประเทศใดบ้าง รวมถึงหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินใจ
ทีมนักวิเคราะห์นำโดย มาเอวา คัซเซิน จากบลูมเบิร์กอีโคโนมิกส์และ จอร์จ ซาราเวลอส จากดอยช์แบงก์ ต่างเห็นความแตกต่างของอัตราภาษีศุลกากรระหว่างอินเดียกับสหรัฐว่ามีช่องว่างอย่างมาก โดยอัตราภาษีเฉลี่ยที่อินเดียเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐนั้น สูงกว่าภาษีที่สหรัฐเก็บจากสินค้าอินเดียถึงกว่า 10% ส่งผลให้อินเดียมีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษที่จะถูกสหรัฐใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า
ขณะเดียวกัน ทีมนักวิเคราะห์ TVจากมอร์แกน สแตนลีย์ นำโดยเชตัน อาห์ยา ระบุว่า อินเดียและไทยเป็นสองประเทศในเอเชียที่อาจถูกขึ้นภาษีนำเข้าอีก 4-6% หากสหรัฐตัดสินใจเก็บภาษีเพิ่มเพื่อลดช่องว่างของอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ซึ่งอินเดียยังมีโอกาสที่จะเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐได้อีก โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์ป้องกันประเทศ พลังงาน และเครื่องบิน
ทั้งนี้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับรายละเอียดของการพิจารณาว่ารัฐบาลของทรัมป์จะพุ่งเป้าไปที่เรื่องใด เช่น อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของประเทศ หรืออุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์บางประเภท แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วอัตราภาษีศุลกากรของประเทศต่างๆ ที่เรียกเก็บกับสินค้าของสหรัฐ อาจดูไม่สูงนัก แต่ในบางกรณี อัตราภาษีสำหรับสินค้าบางประเภท เช่น รถยนต์หรือสินค้าเกษตร อาจสูงกว่าค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญ
“ทรัมป์”บีบเอเชียเข้าหาสหรัฐ
การขู่ใช้มาตรการทางการค้าครั้งนี้ ทำให้ประเทศในเอเชียต้องโอนอ่อนผ่อนตามทรัมป์มากขึ้น และต้องเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ เพื่อรับมือกับความขัดแย้งทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต
ก่อนที่ผู้นำทั้งสองประเทศจะมีการประชุมร่วมกับสหรัฐในสัปดาห์นี้ บริษัทนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ของอินเดีย กำลังเจรจาขอซื้อก๊าซเพิ่มจากสหรัฐ ส่วนประเทศไทยก็กำลังพิจารณาซื้อสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากแผนที่จะนำเข้าอีเทนและสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นในปีนี้
เมื่อเทียบสงครามการค้าครั้งแรกของทรัมป์ในปี 2561 และ 2562 กับ “ทรัมป์ 2.0” ถือว่ามาตรการภาษีศุลกากรมีความเข้มงวดมากขึ้นอย่างมาก ดังนั้นความตึงเครียดด้านการค้าและความเสี่ยงอาจเพิ่มสูงขึ้น
หอการค้าเตือนรัฐบาลรับมือเจรจาสหรัฐ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะใช้หลักเกณฑ์ทั้งดุลการค้าและอัตราภาษีที่สหรัฐถูกประเทศคู่ค้าจัดเก็บ สำหรับนำมาพิจารณาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าประเทศคู่ค้าของสหรัฐ ดังนั้นไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมในการเจรจาทุกด้าน โดยเฉพาะการยื่นข้อเสนอเพื่อลดปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลเตรียมแผนการเจรจาเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐในสินค้า 2 กลุ่ม คือ
1.สินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าเป็นสินค้าที่ไทยต้องนำเข้าอยู่แล้วและเป็นไปได้ที่จะเพิ่มปริมาณนำเข้า โดยถ้าพิจารณาสินค้ากลุ่มนี้อาจนำเข้าเพิ่มไม่มาก
2.สินค้าอุตสาหกรรม เช่น อีเทน ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าไทยสามารถนำเข้าเพิ่มได้เพราะที่ผ่านมามีการนำเข้าเพื่อเป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี รวมทั้งรัฐบาลควรเจรจาว่าสินค้าส่งออกไปสหรัฐบางส่วนมาจากบริษัทสหรัฐที่ลงทุนในไทย เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่สหรัฐนำเข้าเพื่อไปสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้า
“ภาคเอกชนสนับสนุนการตั้งคณะทำงานรับมือของรัฐบาลที่มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน โดยภาคเอกชนพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อให้ข้อมูลการค้าประกบอการเจรจากับสหรัฐ” นายวิศิษฐ์ กล่าว
สรุปแผนรับมือเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 11 ก.พ.2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการเรื่องการศึกษามาตรการทางการค้ากับสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประกาศนโยบายทางการค้า เช่น กำแพงภาษี ซึ่งอาจเป็นผลเสียต่อการส่งออกสินค้าเกษตรไทยรวมถึงสินค้าอื่น เช่น อิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้ รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2568 เพื่อศึกษาวางแผนและรับมือนโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยกับสหรัฐ เพื่อให้มีทิศทางที่ชัดเจน และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการค้า และการลงทุนของประเทศ โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ร่วมเป็นคณะทำงาน
ขอให้คณะทำงานดังกล่าว รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม เร่งศึกษาสรุปข้อมูล ทั้งผลดีผลเสีย และมาตรการรับมือเจรจาต่อรองทางด้านการค้าการลงทุน เพื่อนำมาเสนอ ครม.ครั้งต่อไป โดยองค์ประกอบของคณะทำงานด้านนโยบายการค้าสหรัฐ ประกอบด้วย
1.นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาคณะทำงานประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี 2.นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษาคณะทำงานที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี
3.นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานคณะทำงาน 4.นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน 5.นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
6.นางสาวใจไทย อุปการนิติเกษตร รองอธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ 7.นางขวัญนภา ผิวนิล คณะทำงาน 8.นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
สำหรับหน้าที่และอำนาจของคณะทำงานได้แก่ 1.วิเคราะห์ ศึกษา และจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกลยุทธ์การเจรจากับรัฐบาลสหรัฐเตรียมการรองรับนโยบายการค้าของสหรัฐ 2.จัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแผนการดำเนินงานเชิงรุกทั้งด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี
3.สั่งการ ประสานงาน และติดตามส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐปฏิบัติงานภายในชอบเขตหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนเพื่อให้ดำเนินการตามนโยบายและมาตรการ
4.สื่อสาร ชี้แจง และให้ข้อมูลต่อประชาชน เพื่อสร้างความรู้เท่าทันและความเข้าใจที่ตรงกันในสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึง จัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวสำหรับนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี
5.เชิญบุคคลหรือคณะบุคคลเข้าร่วมประชุม หรือขอเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานหรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชนในการดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจตามคำสั่ง และ 6.ปฏิบัติการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย







