ครม.ขยายเวลาโครงการศูนย์ยานยนต์ฯ วงเงิน 3.7 พันล้าน ขีดเส้นแล้วเสร็จปี 70

ครม.ไฟเขียวขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ วงเงิน 3,705.7 ล้านบาท จาก 9 เป็น 12 ปี โดยให้ก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี่ 2570 สศช.-บีโอไอ ประสานเสียงเร่งโครงการสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (11 ก.พ.) เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอการ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 เรื่องขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ เพื่อขอขยายกรอบระยะเวลาในการดำเนินการโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ ดังกล่าว ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. 2559-2570 (12 ปี) จากเดิมที่มีระยะเวลาในการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 – 2567 (9ปี)
ทั้งนี้ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ครม. อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ โดยเป็นการลงทุนของภาครัฐวงเงินงบฯ รวม 3,705.7 ล้านบาท ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พศ. 2559-2563 และต่อมา ครม. มีมติ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564 ให้กระทรวงอุตสาหกรรมขยายระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พศ. 2559-2567
ทั้งนี้โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ ได้รับการจัดสรรงบประมาณแล้วทั้งสิ้น 2,669.09 ล้านบาท และแบ่งการดำเนินงานเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ส่วนทดสอบยางล้อ มีการดำเนินการปรับพื้นที่ ออกแบบและก่อสร้าง จัดซื้อและติดตั้งชุดเครื่องมือเสร็จแล้ว และเปิดให้บริการทดสอบแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2566 ส่วนอาคารสำนักงานก่อสร้างเสร็จแล้ว
ส่วนในระยะที่ 2 ส่วนทดสอบยานยนต์และชิ้นส่วน ประกอบด้วย สนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ สนามทดสอบระบบเบรค สนามทดสอบระบบเบรคมือ สนามทดสอบพลวัต สนามทดสอบการยึดเกาะถนนขณะเข้าโค้ง และระบบสาธารณูปโภค
โดยการดำเนินการทั้ง 2 ระยะ ได้มีการดำเนินการตามกรอบระยะเวลา เพื่อให้โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ แล้วเสร็จ โดยในปัจจุบันอยู่ในระหว่างการดำเนินการในส่วนการทดสอบยางยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งต้องมีการดำเนินการปรับพื้นที่ เพื่อติดตั้งชุดเครื่องมือ และการดำเนินการสร้างสนามทดสอบความเร็วและสมรรถนะ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินโครงการจนถึงปี พ.ศ. 2570
ทั้งนี้การที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ครม. เพื่อให้พิจารณาทบทวนมติ และขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (โครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ) เพื่อให้ขยายกรอบระยะเวลา ให้ดำเนินการจบแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. 2559-2570 เพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติให้เสร็จสิ้นโดยเร็วและมีประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบทางด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และ ยางล้อ ในฐานะที่ไทยเป็นศูนย์กลางการทดสอบยานยนต์และยางล้อ ของภูมิภาคอาเชียน ที่สามารถรองรับการทดสอบและรับรองยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อ ได้อย่างมีมาตรฐาน และเป็นฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่สําคัญของโลก
พร้อมทั้งให้เหตุผลว่าหากไม่ได้รับการขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ และดำเนินการไม่แล้วเสร็จจะส่งผลกระทบต่อการเสียโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อในการส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และยางล้อของไทยในตลาดโลก และความเป็นศูนย์กลางในการผลิต การทดสอบยานยนต์และยางล้อที่ไทยเคยมีสมรรถนะและความได้เปรียบในอุตสาหกรรมดังกล่าว
ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เสนอความเห็นประกอบกับเรื่องนี้ เช่น สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)ให้ความเห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนควรมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อหารายได้ให้ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติและศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ทุกประเภทในแนวทาง Multi-Pathway เพื่อให้ศูนย์ทดสอบสามารถบริหารจัดการตนเองได้โดยไม่เป็นภาระทางงบฯ ในระยะต่อไป
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเห็นว่า ควรเร่งดำเนินการโครงการให้แล้วเสร็จ รวมถึงการดำเนินมาตรการสนับสนุนหรือส่งเสริมให้มีการให้บริการในส่วนที่ดำเนินการแล้วเสร็จไปก่อนให้ได้ประโยชน์สูงสุดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ เห็นควรเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ไทยไม่เสียโอกาสและจังหวะที่จะก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ที่สำคัญของโลกตามวิสัยทัศน์ประเทศไทยของรัฐบาล ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศจะต้องมีความพร้อมทั้งในเรื่องความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และเรื่องทักษะความสามารถของบุคลากรในด้านนี้ ทั้งนี้ ความพร้อมในเรื่องดังกล่าวจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีแรงจูงใจที่จะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศอีกด้วย







