ไทยรุก ‘ศูนย์กลางการเงินภูมิภาค’ แชร์ส่วนแบ่งสิงคโปร์ 

ไทยรุก ‘ศูนย์กลางการเงินภูมิภาค’ แชร์ส่วนแบ่งสิงคโปร์ 

โอกาสไทยแข่งเป็นศูนย์กลางการเงินภูมิภาค มีจุดแข็งพื้นที่ยุทธศาสตร์ ใจกลางอาเซียน พร้อมเชื่อมการเงิน CLMV ดันพ.ร.บ.ตั้งสำนักงาน OSA กำกับดูแลครบวงจร

รัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีนโยบายสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจด้วยการดึงธุรกิจใหม่มาลงทุนไทย ทั้งการลงทุนการผลิตอุตสาหกรรมจริง (Real Sector) รวมทั้งธุรกิจการเงิน (Financial Sector) โดยหนึ่งในนโยบายสำคัญจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค 

ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ…. ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) และอยู่ขั้นตอนการตรวจร่างกฎหมายโดยคณะกรรมการกฤษฎีกาภายในกรอบเวลา 50 วัน ก่อนเสนอรัฐสภาพิจารณา ซึ่งมีผลบังคับใช้เร็วที่สุดในปี 2568

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ให้สัมภาษณ์พิเศษ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า รัฐบาลขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพใหญ่เพื่อหาเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศ 

สำหรับภาคการเงิน (Financial Sector) ครอบคลุมการดำเนินธุรกิจการเงินยังมีช่องว่างอีกมากในการเติบโต โดยเมื่อเทียบภาคอุตสาหกรรมการผลิตจริง (Real Sector) ที่เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่องว่างการเติบโตนี้ถือว่ายังมีอีกมากและเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อีกมาก 

“ยกตัวอย่างธุรกิจโรงแรม จะทำอย่างไรให้มีรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่า เป็นเรื่องที่ยากมาก ขณะที่ถ้าเป็นธุรกิจการเงินสามารถทำได้ เติบโตได้เร็วกว่า และมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งช่องว่างที่ผมพูดถึงนี้คือโอกาสของประเทศไทย” นายเผ่าภูมิกล่าว

ธุรกิจการเงินยังมีช่องว่างในการเติบโต

ทั้งนี้ เมื่อหันมาดูความพร้อมของไทยพบว่าระบบการเงินภายในประเทศ ทั้งธนาคารพาณิชย์ บริษัทประกันภัย และตลาดหลักทรัพย์ มีความแข็งแกร่ง โดยไทยมีภูมิทัศน์การเงิน (Financial Lanscape) ที่ครบและครอบคลุมการเข้าถึงบริการทางการเงินทุกระดับ

นอกจากนี้การกำกับดูแลที่มีความระมัดระวังของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่มีการกำกับดูแลที่ดี

รวมทั้งหากมองกลับกัน การมีกฎระเบียบที่มีความเข้มงวด การขอใบอนุญาตที่ต้องขอผ่านหลายหน่วยงาน และขาดสิทธิประโยชน์ที่จูงใจ ทำให้ในอดีตประเทศไทยยังไม่สามารถดึงดูดให้มีการลงทุนจากต่างประเทศในกลุ่มธุรกิจการเงินเข้ามาในประเทศได้มากนัก

“เราเห็นโอกาสในการเติบโตและข้อจำกัดเหล่านี้ จึงเร่งผลักดันร่างกฎหมายใหม่ พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน ขึ้นมา เพื่อตั้งสำนักงาน OSA ที่มีหน้าที่กำกับดูแลทั้ง 3 เรื่องแบบเบ็ดเสร็จ ”นายเผ่าภูมิ กล่าว

OSA กลไกออกแบบสิทธิประโยชน์-ดึงลงทุน

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: OSA) จะเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการสำหรับธุรกิจการเงินแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร (End to end) ซึ่งอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจการเงินที่เข้ามาลงทุนติดต่อเพียงหน่วยงานเดียว 

สำหรับหน่วยงานดังกล่าวมีคณะกรรมการกำหนดนโยบายและมีอำนาจในการบริหาร ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังเป็นประธานโดยตำแหน่ง 

นอกจากนั้นมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), เลขาธิการ ก.ล.ต., เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย, เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบปรามการฟอกเงิน และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมเป็นคณะกรรมการทำหน้าที่อำนวยความสะดวกและกำหนดสิทธิประโยชน์จูงใจการลงทุน

“การทำงานของ OSA จะเป็นการกำหนดกรอบความคิด (Mindset) การกำกับดูแลให้มีการเปิดกว้างมากขึ้น สำหรับการเข้ามาของธุรกิจสมัยใหม่ ธุรกิจการเงินแห่งอนาคต และธุรกิจการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน”

โดยสำนักงาน OSA มีอำนาจกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมธุรกิจเป้าหมาย ขอบเขตการออกใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ การกำกับดูแล และการเพิกถอนใบอนุญาต รวมทั้งการกำหนดสิทธประโยชน์ทางภาษี เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคลและบุคคลธรรมดา และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี เช่น การออกวีซ่าที่ผ่อนปรน การครอบครองห้องชุด

“โจทย์สำคัญที่จะผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินให้สำเร็จได้ หนึ่ง สิทธิประโยชน์ต้องพร้อมและแข่งขันได้ สอง กลไกการกำกับดูแลต้องง่าย อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business)”

ชูตำแหน่งที่ตั้งไทยเหมาะลงทุน

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า แม้ปัจจุบันในเอเชียมีศูนย์กลางทางการเงินอย่างฮ่องกงและสิงคโปร์ แต่ไทยมีโอกาสช่วงชิงตลาดนี้มาได้ ด้วยจุดแข็งสำคัญคือตำแหน่งยุทธศาสตร์ของไทยที่อยู่กลางอาเซียน ติดกับกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม)

"โลเคชั่นของประเทศไทยได้เปรียบสิงคโปร์มากในการเข้าถึงตลาด CLMV ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้มีศักยภาพสูงในการพัฒนาระบบการเงินอีกมาก และไทยเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อการเงินระหว่างพรมแดนนี้ได้“

นอกจากนี้ บทบาทการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของไทยยังไม่ใช่เพียงการแข่งขันกับตลาดใหญ่ แต่ยังมองเป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกันระหว่างศูนย์กลางทางการเงินแห่งอื่นอีกด้วย ซึ่งการเชื่อมโยงฮ่องกงที่เป็นศูนย์กลางการเงินอีกแห่ง โดยได้คุยกันในเบื้องต้นแล้วว่าจะมีการสร้างความร่วมมือเพื่อสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขันกันกับศูนย์กลางการเงินแห่งอื่น

เปิด 8 ธุรกิจเป้าหมายลงทุน

ทั้งนี้ ธุรกิจการเงินที่ไทยต้องการดึงเข้ามาลงทุนในประเทศจะสามารถให้บริการผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น โดยจะมีการกำหนดที่ตั้งในเขตพื้นที่ และมีสัดส่วนการจ้างแรงงานไทยตามที่กำหนด

สำหรับธรุกิจ 8 ประเภทที่เปิดให้มีการลงทุน ได้แก่ 1.ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ 2.ธุรกิจบริการ การชำระเงิน 3.ธุรกิจหลักทรัพย์ 4.ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 5.ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 6.ธุรกิจประกันภัย 7.ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ 8.ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนด

โดยรยกเว้นธุรกิจบางประเภทที่ให้บริการในประเทศได้ ได้แก่ ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้

ส่วนตลาดทุน ให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้ ส่วนด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้ ส่วนธุรกิจบริการการชำระเงินเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้

ขณะที่ในด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาทด้วย