“WHA” รับโอกาสสงครามการค้ารอบใหม่ เล็งขยายธุรกิจนิคมฯเพิ่มอีกประเทศ

“WHA” รับโอกาสสงครามการค้า หลังทุนใหญ่ย้ายฐานเข้าอาเซียน เล็งขยายธุรกิจนิคมในประเทศที่ 3 ต่อจากไทยและเวียดนาม “จรีพร” เล็งประเทศในอาเซียนที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง ชี้มองธุรกิจที่ระบบนิเวศและการเติบโตระยะยาว ระบุหนี้ครัวเรือนฉุดเศรษฐกิจ
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “WHA” กล่าวในงานสัมมนา “Thailand Economic Drives 2025” จัดโดยโพสต์ทูเดย์ วันนี้ (7ก.พ.) ว่าการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของโดนัลด์ ทรัมป์ นั้นทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ซึ่งเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส โดยตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เมื่อทรัมป์ประกาศจะมีการลงสมัครเป็นประธานาธิบดีมีการคาดการณ์เรื่องของกำแพงภาษีที่สหรัฐฯจะใช้กับจีนทำให้มีการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนมากยิ่งเมื่อทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีก็มีการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในอาเซียนและในไทยมากขึ้น
สิ่งที่ WHA ทำคือเรามองหาโอกาสในการสร้างธุรกิจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเมื่อมีการย้ายฐานการผลิตมากกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมการขายที่ดินได้เพิ่มทั้งกลุ่ม โดยปัจจุบัน WHA เรามีการทำธุรกิจใน 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ในส่วนของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีการขยายธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมไปในเวียดนาม และตอนนี้เรากำลังมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจไปยังประเทศที่ 3 ซึ่งยังโฟกัสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งตอนนี้เราก็ว่าจะขยายไปยังประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างมากขึ้นในอนาคต
“แม้ว่าจะมีคำถามว่าไทยจะโดนเก็บภาษีจากสหรัฐฯหรือไม่แต่สิ่งที่เราเห็นตอนนี้ก็คือเรื่องของมาตรการทางภาษีการเจรจาระหว่างสหรัฐกับประเทศต่างๆได้มีการพูดคุยกับผู้ประกอบการหลายบริษัททั่วโลกตอนนี้ผู้ประกอบการจีนได้มีมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนค้าทางการผลิตในที่อื่นๆ
ส่วนประกอบการเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนได้มีการตั้งฐานการผลิตในไทยและประกาศให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำหรับที่จะส่งออกไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก ไม่ใช่แค่การส่งออกไปยังในอเมริกาอย่างเดียว ถ้าผู้ประกอบการของเรามีความเข้าใจ ก็จะคว้าโอกาสเอาไว้ได้เราไม่ใช่ประเทศไทย ในภาพของ 30 ถึง 40 ปีก่อนตอนนี้เราต้องมองในระยะข้างหน้าโอกาสใหม่ใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้เรื่องของการลงทุนใหม่ที่ผู้ประกอบการของไทยจะสามารถคว้าโอกาสเอาไว้ได้” นางสาวจรีพร กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ WHA กล่าวต่อไปว่า การวางแผนธุรกิจจะต้องมองในเรื่องของระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น เช่นวันนี้เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี จะมีการสนับสนุนธุรกิจฟอสซิลมากขึ้น แต่ในส่วนนี้ก็ต้องมองว่าในระยะยาวธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มอย่างไรให้การสนับสนุนหรือไม่ หรือว่าเรื่องนี้เป็นระยะสั้น ที่อาจกลับมาสู่รูปแบบเดิมเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐฯอีกครั้ง
ทั้งนี้ WHA มองภาพระยะยาว เรามีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนในขณะเดียวกันก็มีการเข้ามาของการลงทุนจากประเทศต่างๆที่เข้ามาในอาเซียนดังนั้นเราจะต้องดูว่าจะสร้างความเชื่อมโยงในเรื่องของธุรกิจต่างๆได้อย่างไร เช่น ในส่วนของธุรกิจ Mobility ที่เริ่มต้นและสามารถทำกำไรได้กว่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากเราพิจารณาถึงระบบนิเวศน์ที่เปลี่ยนไปการใช้รถไฟฟ้า (EV) จะมีมากขึ้น โดยในปี 2029 WHA จะมีการใช้รถ EV ในธุรกิจการขนส่งถึง 20,000 คัน ซึ่งช่วยทั้งเรื่องลดต้นทุน และลดการปล่อยคาร์บอนตามแนวทางของธุรกิจด้วย
สำหรับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลในเรื่องของแลนด์บริดจ์นั้นนางสาวจรีพรกล่าวว่านโยบายนี้ต้องเชื่อมโยงกับการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้โดยสนับสนุนว่ารัฐบาลควรทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมโยงเรื่องของการผลิตและการขนส่งของประเทศกับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่
ส่วนความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้มองว่ายังเป็นเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมเพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ทำให้มีการกู้หนี้นอกระบบมากขึ้นซึ่งรัฐบาลพยายามจะแก้ปัญหานี้อยู่ แต่ยังแก้ไม่ได้มากนัก โดยเรื่องหนี้ครัวเรือนผูกพันมาถึงเรื่องของการผลิตรถยนต์และภาคอสังหาริมทรัพย์ในไทยด้วย โดยในเรื่องของรถยนต์การผลิตเพื่อขายในประเทศลดลงมาก 800,000 คันต่อปี เหลือแค่ 570,000 คันต่อปี โดยการผลิตรถปิ๊กอัพลดลงไปเยอะมาก สะท้อนว่ากำลังซื้อของคนน้อยลงมากซึ่งเรื่องนี้หากไม่แก้ไขก็จะกระทบไปยังภาคส่วนอื่นๆของเศรษฐกิจ







