อ่านเกม เทรดวอร์ สหรัฐจาก 'โรเบิร์ต ไลท์ไฮท์เซอร์' ผู้วางนโยบายภาษีให้ทรัมป์

ถอดรหัสกลยุทธ์การค้า 'ทรัมป์' ผ่านมุมมองอดีตที่ปรึกษา ชี้จีนคือศัตรูหมายเลขหนึ่ง พร้อมส่งสัญญาณเล็งเป้าสหภาพยุโรปและเวียดนามรอบใหม่ เตือนไทยระวังถูกมาตรการกีดกันการค้า
KEY
POINTS
- โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ อดีตที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ระบุว่าจีนเป็นภัยคุกคามหลักของสหรัฐฯ เนื่องจากท้าทายได้ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร
- ทรัมป์มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายการค้าเชิงรุกต่อสหภาพยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนีที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ มาโดยตลอด
- เวียดนามถูกจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างมาก
- ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจเสี่ยงถูกมาตรการตอบโต้ทางการค้า
- สหราชอาณาจักรได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการค้า เนื่องจากมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลช
หากย้อนกลับไปวันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐกล่าวสปีชสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า “วิลเลียม แมคคินลีย์” ประธานาธิบดีคนที่ 25 ของสหรัฐอเมริกา คือต้นแบบการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์ ด้วยนโยบายสำคัญสองประการคือ การขยายดินแดนและการเก็บภาษีศุลกากร แมคคินลีย์เป็นผู้นำในยุคที่สหรัฐอเมริกามีความมั่งคั่งสูงสุดระหว่างปี 1880-1913 โดยรายได้หลักของรัฐบาลมาจากภาษีนำเข้าถึงร้อยละ 80 ก่อนที่จะเริ่มมีการจัดเก็บภาษีเงินได้ในปี 1913 ช่วงเวลาเดียวกับการเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
การสูญเสียความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาเริ่มต้นจากการเข้าร่วมข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) การให้สถานะการค้าถาวรกับจีน และการยอมให้จีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ส่งผลให้ภาคการผลิตของสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะการสูญเสียงานในภาคการผลิตกว่า 5-7 ล้านตำแหน่ง
อ่านเกมทรัมป์ผ่านอดีตมือขวาด้านนโยบายการค้า
อย่างไรก็ตาม นอกจากถอดบทเรียนของทรัมป์จากแมคคินลีย์แล้ว หากต้องการเข้าใจมุมมองและวิธีการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านภาษีของทรัมป์ในปัจจุบัน นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า อาจสามารถพิจารณาได้จากมุมมองของโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ อดีตที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ในช่วงเริ่มแรกของสงครามการค้าปี 2017
ไลท์ไฮเซอร์ ได้ขยายความกรอบนโยบายการค้าไว้ในหนังสือ “No Trade Is Free” ของเขา โดยระบุว่าจีนคือศัตรูหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสามารถท้าทายสหรัฐอเมริกาได้ทั้งด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร ต่างจากญี่ปุ่นในทศวรรษ 1980 ที่ท้าทายเพียงด้านเศรษฐกิจ หรือสหภาพโซเวียตที่ท้าทายเพียงด้านการทหาร นอกจากนี้ยังชี้ว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จ่ายเงินให้จีนแข็งแกร่งขึ้น โดยเศรษฐกิจจีนเติบโตจาก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2001 เป็น 18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน
ความไม่เป็นธรรมปรากฏชัดในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่บริษัทรถยนต์ย้ายฐานการผลิตจากสหรัฐไปยังเม็กซิโกและแคนาดาเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) โดยเม็กซิโกมีโรงงานผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันถึง 26 แห่ง ผลิตรถยนต์ 4 ล้านคันต่อปีและส่งออกไปสหรัฐฯ 76% ขณะที่แคนาดามีโรงงานสัญญาติอเมริกัน 7 แห่ง ผลิต 1.5 ล้านคันและส่งออกไปสหรัฐฯ ถึง 90% โดยใช้ประโยชน์จากค่าแรงที่ต่ำกว่าและภาษีนำเข้าที่เป็นศูนย์
นอกจากนี้ ยังมีความไม่สมมาตรในการเข้าถึงตลาด โดยจีนสามารถส่งสินค้าผ่านช่องทาง De minimis ของสหรัฐฯ ที่ยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับสินค้ามูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ มาก เช่นออสเตรเลีย 673 ดอลลาร์สหรัฐ สหภาพยุโรป 166 ดอลลาร์สหรัฐ ญี่ปุ่น 71 ดอลลาร์สหรัฐ เม็กซิโก 50 ดอลลาร์สหรัฐ และจีนเพียง 7 ดอลลาร์สหรัฐ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือทำให้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีนอย่าง SHEIN สามารถส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ โดยไม่ต้องเสียภาษี
ในด้านการเข้าถึงตลาด บริษัทอเมริกันไม่สามารถเข้าถึงตลาดการเงินและเทคโนโลยีของจีนได้อย่างเสรี ในขณะที่ UnionPay ของจีนสามารถให้บริการในสหรัฐฯ ได้ เช่นเดียวกับแอปพลิเคชัน TikTok และ WeChat ที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้ชาวอเมริกันได้ ในขณะที่ Facebook Google และ Instagram ถูกบล็อกในจีน นอกจากนี้ สหภาพยุโรปก็มีการกีดกันทางการค้าผ่านมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี เช่น มาตรฐานสินค้า การคุ้มครองภาคเกษตร และการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 21%
เหยื่อรายต่อไปของทรัมป์คือ 'เยอรมนี' ?
หากประเมินทิศทางท่าทีต่อไปของทรัมป์จากสมมุติฐานดังกล่าว หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จในการกดดันเม็กซิโก แคนาดา และจีน เป้าหมายต่อไปคือสหภาพยุโรปที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ทำให้สินค้าอเมริกันเสียเปรียบในตลาดยุโรป นอกจากนี้ยังมีการใช้มาตรฐานยุโรปเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า และการปกป้องภาคเกษตรกรรมอย่างเข้มงวด
เยอรมนีอาจเป็นประเทศแรกที่จะถูกเล่นงาน เนื่องจากได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามาโดยตลอด มีการใช้เงินยูโรที่อ่อนค่าเป็นประโยชน์ในการส่งออก และไม่จ่ายค่าใช้จ่ายด้านการทหารตามข้อตกลงนาโต้ที่ร้อยละ 2 ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และต่อมาคือไอร์แลนด์ที่ถูกมองว่าใช้อัตราภาษีนิติบุคคลต่ำที่ร้อยละ 12.5 ดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันให้ย้ายฐานภาษีไปเมืองดับลิน
ขณะที่สหราชอาณาจักรได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีเนื่องจากมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่สมดุลกับสหรัฐอเมริกา บางปีขาดดุล บางปีเกินดุล แสดงถึงการค้าที่เป็นธรรม
เวียดนามก็เป็นอีกประเทศที่ถูกจับตามอง เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มจากเกือบศูนย์ในปี 2000 เป็น 1.13 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 ส่วนประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 10 ของประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถานะที่น่ากังวล เนื่องจากอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มจะถูกสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ รัฐบาลไทยอาจพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะสินค้าเกษตรเช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และเนื้อวัว รวมถึงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเครื่องบินจากสหรัฐ นอกจากนี้ควรพิจารณาการกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกา และปรับปรุงห่วงโซ่อุปทานให้มีการผลิตภายในประเทศมากขึ้นแทนการเป็นเพียงฐานประกอบสินค้าจากจีน
ปัจจุบันสินค้านำเข้าหลักได้แก่ น้ำมันดิบ 11% เครื่องจักรและชิ้นส่วน 10% เคมีภัณฑ์ 7% ก๊าซธรรมชาติ 12% เครื่องบิน 33% เครื่องจักรไฟฟ้า 4% วงจรรวม 4% เครื่องมือวิทยาศาสตร์ 13% ชิ้นส่วนยานยนต์ 10% และถั่วเหลือง/ข้าวสาลี 7% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมดของไทย ซึ่งควรพิจารณาเพิ่มการนำเข้าสินค้าเหล่านี้เพื่อลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ ในอนาคต







