เปิดแผน 'ไทย’ เจรจาสหรัฐ เพิ่มนำเข้าลดเอฟเฟกต์ 'สงครามการค้า'

เปิดแผน 'ไทย’ เจรจาสหรัฐ  เพิ่มนำเข้าลดเอฟเฟกต์ 'สงครามการค้า'

รัฐบาลไทย เตรียมประเด็นเจรจา ยอมเพิ่มนำเข้าสินค้าสหรัฐ ลดผลกระทบถูกขึ้นภาษี เล็งเพิ่มความสัมพันธ์ทหาร “พาณิชย์” บุกสหรัฐรุกเจรจาผลกระทบ สรท.จับตาผลกระทบส่งออกไตรมาส 2 “หอการค้า” แนะตั้งทีมรัฐ-เอกชนรับมือ จับตา ‘ทรัมป์’ หารือ ‘สี จิ้นผิง’ หลังจีนตอบโต้ขึ้นภาษี 10-15%

ไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐต่อเนื่อง และมีโอกาสถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 10% โดยในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าไทยได้ดุลการค้าสหรัฐ 35,428 ล้านดอลลาร์ เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของไทย 

ในขณะที่สำนักงานสถิติสหรัฐ รายงานข้อมูล ณ วันที่ 27 ม.ค.2568 ซึ่งสรุปการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐในช่วง 11 เดือน แรกของปี 2567 พบว่าไทยได้ดุลการค้าสหรัฐเป็นอันดับที่ 10

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า รัฐบาลไทยได้เตรียมแผนการเจรจากับสหรัฐทั้งการเจรจาที่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ และการเจรจานอกรอบผ่านล็อบบี้ยิสต์ โดยในเบื้องต้นสหรัฐต้องการให้ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีสินค้าหลายรายการที่ไทยมีความต้องการ และอาจนำเข้าเพิ่มได้ เช่น ข้าวโพด

นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เปิดเผยกับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2568 ว่า ไทยเตรียมเพิ่มการนำเข้า “อีเทน” และ “สินค้าเกษตร” จากสหรัฐเพิ่มเติม เพื่อลดแรงกดดันเรื่องการขาดดุลการค้าของสหรัฐ และลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ในขณะที่สหรัฐกำลังขู่ทำสงครามการค้ากับหลายประเทศ

รองเลขานายกฯ กล่าวว่า โรงงานอาหารสัตว์ของไทยจะนำเข้ากากถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรอื่นๆ มากขึ้นเพื่อใช้เป็นส่วนผสมอาหารสัตว์สำหรับวัว สัตว์ปีก และหมู แต่ไม่ได้ระบุปริมาณการนำเข้าเพิ่มเติม

ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้ขอให้บริษัท ปิโตรเคมีในไทย “เพิ่มปริมาณการซื้อเอทานอลจากสหรัฐอย่างน้อย 1 ล้านตัน” โดยปัจจุบัน มูลค่าตลาดของอีเทน 1 ล้านตันอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านดอลลาร์ (ราว 6,780 ล้านบาท)

 

“เรากำลังดำเนินการเชิงรุก และหวังว่าจะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในการเจรจากับสหรัฐได้” รองโฆษกฯ กล่าวพร้อมเสริมว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาความพยายามที่จะเสริมสร้าง “ความสัมพันธ์ด้านกลาโหม และความมั่นคง” กับสหรัฐด้วย

“มีแนวโน้มว่าจะมีการเจรจาเรื่องการขาดดุลการค้าจำนวนมากของสหรัฐ แต่พวกเขาก็ยังต้องการพันธมิตรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย” นายพงศ์ศรัณย์ กล่าว

ทั้งนี้ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้วิพากษ์วิจารณ์หลายประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐ โดยเรียกเก็บภาษีทั้งจากประเทศคู่แข่ง และพันธมิตร

“พาณิชย์” หวังผลเจรจาการค้าสหรัฐ

สำหรับเศรษฐกิจของไทยที่พึ่งพาการส่งออกอาจได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาษีของสหรัฐ โดยไทยส่งนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางไปสหรัฐวันที่ 4-7 ก.พ.2568 เพื่อเจรจาหารือกับฝ่ายสหรัฐ และลดความตึงเครียดทางการค้า

นายพิชัย กล่าวว่า คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ จะเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับรัฐบาล และภาคเอกชนสหรัฐตามนโยบายนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเข้าร่วมงาน National Prayer Breakfast 2025 ซึ่งจัดต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2496 โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐเข้าร่วมเป็นประจำ 

รวมทั้งจะเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเครือข่าย และแลกเปลี่ยนนโยบายด้านเศรษฐกิจกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐ เช่น สมาชิกสภาคองเกรส รัฐมนตรี ภาคเอกชน และผู้นำจากนานาชาติ โดยจะได้พบผู้นำธุรกิจสหรัฐ เช่น หอการค้าสหรัฐ (USCC), สภาธุรกิจอาเซียน-สหรัฐ (USABC) และบริษัทชั้นนำอย่าง Google เพื่อหารือแนวทางแก้ไขอุปสรรคทางการค้าระหว่างสองประเทศ

 

 

“การเยือนครั้งนี้เป็นกลยุทธ์การเจรจาเชิงรุกเพื่อรักษาโอกาสทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐได้ยั่งยืน ตลอดจนเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ไทย-สหรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

จับตาผลกระทบส่งออกไตรมาส 2

นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกปี 2568 ต้องเผชิญสงครามการค้า โดยกรณีมีการเจรจาต่อรองกันจนหาข้อตกลงได้ คาดไตรมาส 1 การส่งออกจะขยายตัว 2-3 % มูลค่า 72,500 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยเดือนละ 24,000-25,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนทั้งปีคาดว่าขยายตัว 1-3% มูลค่า 305,000 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ การส่งออกไทยจะเริ่มได้รับผลกระทบไตรมาส 2 เพราะเห็นทิศทางการออกนโยบายเป็นไปตามที่สหรัฐประกาศไว้ โดยมีข้อดีที่ยังเจรจาได้ ซึ่งไทยต้องทำงานร่วมกันใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเร่งประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) รายเดือนหรือรายไตรมาส

ดังนั้นภาครัฐต้องรีบตั้ง “วอร์รูมเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0” ให้เร็วที่สุด และเรียกประชุมทันทีหลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางกลับจากสหรัฐ โดยกำหนดกลยุทธ์การทำงานให้เป็นแบบหนึ่งเดียวทั้งภาครัฐเองและเอกชน และวางจุดยืนของไทยให้ชัดเจน โดยเฉพาะแนวทางการเจรจาหลังสหรัฐประกาศมาตรการกับไทย

ส่วนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนต้องดูว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออก โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเสี่ยงโดนขึ้นภาษีนำเข้าใน 3 กลุ่มคือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยางพารา ซึ่งควรถอดบทเรียนการขึ้นภาษีกับแคนาดา และเม็กซิโก

หอการค้าแนะเตรียมทีมรัฐ-เอกชน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแสดงให้เห็นชัดเจนต่อตลาดโลก ค่าเงินอ่อนค่าลง โดยค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัว หุ้นทั่วโลกปรับลดลง และตลาดการเงินเกิดความผันผวน

"แม้ไทยยังไม่ใช่ประเทศหลักที่ถูกเพ่งเล็งจากสหรัฐ แต่มองว่านโยบายทางภาษีสหรัฐจะมีส่วนกระทบต่อเศรษฐกิจหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการส่งออกที่ต้องประเมินตัวเลขอีกครั้งหลังจากมีความชัดเจนของมาตรการที่ทรัมป์น่าจะประกาศออกมาหลังวันที่ 1 เม.ย.นี้" นายสนั่น กล่าว

ทั้งนี้ สภาหอการค้าฯ จึงมีข้อเสนอเบื้องต้นเพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ 3 เรื่องสำคัญ คือ

1.การเตรียม TEAM THAILAND+ ที่เป็นคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเร่งศึกษาผลกระทบของไทยต่อนโยบายสหรัฐในทุก Sector และจัดทำเป็น Strategic Plan ของประเทศในการเจรจากับสหรัฐ รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า และการลงทุนกับสหรัฐผ่านกลไก US Chamber of Commerce

2.ถือโอกาสความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกนี้ ในการโปรโมตการลงทุนจากบริษัทต่างชาติที่ต้องการย้ายฐานการผลิต โดยเสนอสิทธิประโยชน์ที่จูงใจ

3.เร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ค้างอยู่ โดยเฉพาะไทย และสหภาพยุโรป (EU) เพื่อกระจายตลาดส่งออก ลดการพึ่งพาจีน และสหรัฐ และขยายไปภูมิภาคอื่น เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป

จีนขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐ 10-15% เริ่ม 10 ก.พ.นี้

ภายหลังจากที่มาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีน 10% เริ่มมีผลบังคับใช้หลังเวลา 00.01 น. วันอังคารที่ 4 ก.พ.2567 ตามเวลาในสหรัฐ โดยไม่เลื่อนออกไป 30 วัน เหมือนกรณีแคนาดา และเม็กซิโก รัฐบาลจีนประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐกลับทันที ทั้งมาตรการภาษี 10-15% และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี ขณะที่ทั่วโลกจับตาการเจรจาระหว่างทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่คาดว่าจะมีขึ้นในสัปดาห์นี้

กระทรวงการคลังของจีนแถลงเมื่อวันอังคารว่า จีนจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 15% กับถ่านหิน และก๊าซแอลเอ็นจี และภาษี 10% กับสินค้าในกลุ่มน้ำมันดิบ เครื่องจักรการเกษตร และยานยนต์บางประเภท โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 10 ก.พ.นี้

“การจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม 10% ของสหรัฐ ละเมิดกฎขององค์การการค้าโลก (WTO) อย่างร้ายแรง ... และบ่อนทำลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการค้าทวิภาคีตามปกติ” ซีเอ็นบีซีรายงานอ้างแถลงการณ์ตอนหนึ่งของกระทรวงการคลังจีน

นอกจากการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษีแล้ว จีนดำเนินมาตรการตอบโต้ควบคู่อีกหลายด้าน อาทิ สำนักงานบริหารการกำกับดูแลตลาดของจีนได้ประกาศเปิดการสอบสวนบริษัท “กูเกิล อิงค์” ในข้อกล่าวหาการละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดตลาด

จับตา ‘ทรัมป์’ หารือ ‘สี จิ้นผิง’

อย่างไรก็ตาม หลุยส์ ลู่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากออกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ มองว่า การประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ของจีนนั้น เป็นเพียง “การเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์” เท่านั้นในขณะนี้ เพราะเดิมทีจีนมีการกำหนดภาษีนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากสหรัฐอยู่แล้ว และอัตราที่ประกาศไปจะเท่ากับว่าจีนขึ้นภาษีกับสหรัฐเพิ่มมาแค่เพียงเกือบ 2% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ลู่เตือนด้วยว่าสงครามการค้าครั้งที่สอง ระหว่างสหรัฐ และจีนนั้นเป็นที่ชัดเจนว่า "ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น" และมองว่า "มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทั้งสองประเทศจะประกาศขึ้นภาษีรอบต่อไป

ทั้งนี้ แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน “อาจจะคุยกันทางโทรศัพท์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”

เลื่อนขึ้นภาษี ‘แคนาดา-เม็กซิโก’ 30 วัน

ทั้งนี้เมื่อวันจันทร์ที่ 3 ก.พ.68 ก่อนที่มาตรการเรียกเก็บภาษี 25% กับเม็กซิโก และแคนาดาจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศชะลอแผนการเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกออกไป 1 เดือน หลังประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาว์ม ของเม็กซิโก ยอมส่งกำลังทหาร 10,000 นาย ไปประจำการตามแนวชายแดนตอนเหนือเพื่อป้องกันลักลอบนำยาเสพติดจากเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐ

ทรัมป์ ระบุว่า ช่วงเวลา 1 เดือนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐและเม็กซิโกจะเจรจากัน เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ขณะที่ผู้นำเม็กซิโกระบุผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า การสนทนาที่ดีกับผู้นำสหรัฐ โดยมีการเคารพต่อความสัมพันธ์ และอธิปไตยของเม็กซิโก ทำให้สามารถบรรลุข้อตกลงหลายประการ

ทางด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ของแคนาดา เปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐได้ตกลงที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้า 25% จากแคนาดาเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน โดยเป็นการตอบสนองต่อข้อตกลงของแคนาดาที่จะจัดการไม่ให้มีการลักลอบนำสารเสพติดเฟนทานิลข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์