สรท.จี้ "พาณิชย์"ตั้ง " วอร์รูมเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0 "รับมือสงครามการค้า

สรท. คงเป้าหมายการส่งออกไว้ในกรอบ 1-3% จับตานโยบายทรัมป์ 2.0 กระทบการส่งออกไทย ชี้ สหรัฐ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย จี้ พาณิชย์ ตั้ง "วอร์รูมเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0"เร่งออกนโยบายหนึ่งเดียว เพื่อกำหนดกลยุทธ์ในทางปฏิบัติให้ชัดเจน
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า การส่งออกปี 67 ถือว่าสอบผ่าน ทำยอดการส่งออก ทะลุเป้าหมายไปถึง 5.4% ที่มูลค่า 300,529 ล้านดอลลาร์ จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 1-2%
แต่สถานการณ์การส่งออกในปี 68 นั้น ไทยต้องเผชิญกับปัญหาสงครามการค้า เนื่องจากการส่งออกของไทยไปสหรัฐ มีสัดส่วน 17% ของมูลค่าการส่งออกโดยรวม ขณะที่ในปี 67 การส่งออกของไทยไปสหรัฐ ขยายตัว 13.7% แต่ยังดีในช่วงที่ผ่านมา นโยบายการค้าโดยเฉพาะการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศไปเมื่อวันที่ 20 ม.ค.68
ที่ผ่านมายังไม่เกิดผลกระทบรุนแรง เนื่องจากมีแนวโน้มแบบค่อยเป็นค่อยไป มีการเจรจาต่อรองกันจนสามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้ คาดในไตรมาสแรกการส่งออกจะขยายตัวได้ 2-3% มูลค่า 72,500 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยเดือนละ 24,000 -25,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนทั้งปี สรท.ยังคงคาดการณ์ส่งออกปี 2568 ขยายตัว 1-3 % มูลค่า 305,000 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2 จากการประเมินสงครามการค้า มีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เพราะเห็นทิศทางการออกนโยบายเป็นไปตามที่สหรัฐประกาศไว้ แต่มีข้อดีคือ ยังสามารถเจรจาได้ จึงต้องติดตามว่าจะออกนโยบายอะไรมาเพิ่มเติม โดยไทย ยังต้องใช้แนวทางการทำงานร่วมกันใกล้ชิด ระหว่างภาครัฐ และเอกชน โดยเร่งรัดให้มีการประชุม กรอ.พาณิชย์ หรือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ รายเดือน หรือ รายไตรมาส
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 2 เป็นช่วงที่ฤดูกาลผลไม้ไทยออกโดยเฉพาะทุเรียนที่เข้มงวดเรื่องมาตรฐานสุขอนามัยหลังตรวจเจอสารย้อมสี Basic Yellow 2 รวมทั้งการระงับการนำเข้าน้ำตาลเชื่อมของไทย ซึ่งต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา เพราะสินค้าเกษตร โดยเฉพาะทุเรียนเป็นสินค้าส่งออกหลักในไตรมาส 2 และหากเงินบาทอ่อนค่าก็จะเป็นแรงบวกต่อการส่งออกในไตรมาส 2
“ส่งออกปีนี้ถือว่าท้าทายมากเพราะโจทย์ยาก ซับซ้อน และเชื่อมโยงต่อเนื่อง ทำให้ผู้ส่งออกต้องปรับตัว ขณะที่ภาครัฐต้องร่วมมือกับเอกชนอย่างใกล้ชิด หากปล่อยปัญหาให้ยืดยาวกว่านี้ก็จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นต้องรีบตั้ง "วอร์รูมเฉพาะนโยบายทรัมป์ 2.0" ให้เร็วที่สุด และเรียกประชุม ทันทีหลังจาก นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินทางกลับจากสหรัฐอเมริกา เพื่อกำหนดกลยุทธ์ การทำงานให้เป็นแบบหนึ่งเดียวทั้งภาครัฐเอง และเอกชน และวางจุดยืนของไทยให้ชัดเจน โดยเฉพาะแนวทางการเจรจาหลังสหรัฐประกาศมาตรการกับไทย เพราะมองว่าขณะนี้ เหลือเวลาไม่มากแล้วในการเตรียมความพร้อมของไทยในการรับมือ เพื่อให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมาย “นายชัยชาญ กล่าว
นายชัยชาญ กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ผู้ส่งออกเป็นกังวลมากที่สุดคือ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งต้องดูว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างไร โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่โดนขึ้นภาษีนำเข้าใน 2 กลุ่มคือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ ยางพารา ซึ่งต้องดูว่าขึ้นเท่าไร ดังนั้นเราควรถอดบทเรียนการขึ้นภาษีกับกลุ่มประเทศแรก คือ แคนาดา และเม็กซิโก
โดยมีปัจจัยเสี่ยง และความผันผวนที่สำคัญต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด ได้แก่
1.นโยบายของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เกิดความผันผวนทางการค้าในระยะต่อไป
2.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยังไม่มีข้อยุติทั้งกรณีของรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
3.ค่าเงินบาทที่ผันผวน เป็นผลมาจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลให้นักลงทุนถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
4.ปัจจัยเฝ้าระวังขนส่งสินค้าทางทะเล เช่น การบริหารจัดการเที่ยวเรือ
และระวางเรือ, ผลกระทบการเปลี่ยนกลุ่มพันธมิตรสายเรือ, ความแออัดของท่าเรือแหลมฉบัง
5.ประเด็นอื่นๆ เช่น ต้นทุนผู้ประกอบการยังค่อนข้างสูง ทั้งต้นทุนพลังงาน, ต้นทุนค่าแรง, ต้นทุนทางการเงิน ความพร้อมของไทยในการรับมือกับรูปแบบ และมาตรการทางการค้าแบบใหม่
ทั้งนี้ สรท. วางมาตรการรับมือในเชิงลึก เพื่อชะลอผลกระทบเบื้องต้น ไว้ 14 แนวทาง เช่น การวางตัวเป็นกลาง ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน เสริมสร้างความแข็งแกร่งของซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยเฉพาะต้นทุน และนวัตกรรม การเดินหน้ารุกตลาดใหม่ ทั้งอินเดีย และตะวันออกกลาง รวมถึงส่งเสริมการใช้ประโยชน์ จากเขตการค้าเสรี หรือ FTA ที่มีอยู่ ให้เพิ่มขึ้น
นายชัยชาญ กล่าวว่า สรท. มีข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ1. เร่งรัดให้มีการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และภาคเอกชน กระทรวงพาณิชย์ (กรอ.พณ.)รายเดือนหรือรายไตรมาส เพื่อติดตามสถานการณ์ความผันผวนการค้าระหว่างประเทศ
2. จัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การโปรโมตสินค้าในรูปแบบออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงการจัดคณะผู้แทนทางการค้าไปเยือนประเทศคู่ค้าสำคัญ
3.เร่งเจรจาการค้าเสรี และจัดทำข้อตกลงความร่วมมือทางการค้ากับคู่ค้าสำคัญ รวมถึงเร่งเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ
4.ส่งเสริมการลงทุนของไทยในประเทศเป้าหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางการค้า
5. ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการผลิตเพื่อส่งออกให้สอดคล้องกับมาตรฐานสินค้าของประเทศคู่ค้าปลายทาง ทั้งในส่วนของสถานประกอบการทั่วไป และสถานประกอบการในพื้นที่ Free Zone และ 6. ขอให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประสานความร่วมมือดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจรแออัดภายในท่าเทียบเรือแหลมฉบังโดยด่วน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์