“OECD”แนะดึงทุนนอกเชื่อมต่อSMEแก้เกมส์รายย่อยอ่อนแรง

วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม หรือ เอสเอ็มอี (SMEs) เป็นฟันเฟืองที่สำคัญของเศรษฐกิจ จึงเป็นอีกจุดเปลี่ยนในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านแต่หาก SME ไม่เข้มแข็ง เศรษฐกิจก็จะไม่เข้มแข็งและการเปลี่ยนผ่านด้านต่างๆอาจไม่ประสบความสำเร็จ
รายงาน Policy Toolkit for Strengthening FDI and SME Linkages จัดทำและเผยแพร่โดย องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(The Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) เล่าว่า ชุดเครื่องมือเชิงนโยบาย ว่าด้วยความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่าง เอสเอ็มอีกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ เอฟดีไอ ว่าด้วยการให้กรอบแนวคิดสำหรับการทำความเข้าใจเงื่อนไขและช่องทางหลักที่เอื้อต่อการกระจายของการลงทุน การวินิจฉัยเพื่อประเมินศักยภาพในประเทศและภูมิภาคต่างๆ
ธุรกิจกำลังมองหาแรงขับเคลื่อนใหม่ๆ ที่จะส่งให้ความสามารถในการแข่งขันและการรับมือภายในห่วงโซ่มูลค่าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงมีประสิทธิภาพขึ้น ดังนั้น การเสริมสร้างระบบนิเวศเอฟดีไอและเอสเอ็มอี ให้เชื่อมโยงกันจะเป็นประโยชน์โดยรวมต่อเศรษฐกิจ เพราะเอสเอ็มอีสามารถสนับสนุนเอฟดีไอและการจ้างงาน และส่งต่อให้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจทั้งในรูปแบบองค์ความรู้และเทคโนโลยีแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง
ในทางกลับกัน เอสเอ็มอีกก็สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมของตัวเองซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของเอฟดีไอที่จะเลือกลงทุนเพราะนักลงทุนต่างชาติมักจะสถานที่จะลงทุนตามคุณภาพของซัพพลายเออร์ในท้องถิ่นและเอสเอ็มอีก็ยังมีคุณสมบัติอีกประการคือ มีความยืดหยุ่น เชื่อถือได้
“หากจะถามว่ารัฐบาลสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อสร้างระบบนิเวศการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพราะการเชื่อมโยงดังกล่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แต่ต้องมีการส่งเสริมและสร้างซัพพลายให้สอดคล้องกับดีมานด์”
สำหรับชุดเครื่องมือนี้Toolkit เป็นการแนะนำเชิงกลยุทธ์เพื่อการกำหนดนโยบายว่าด้วย การปรับปรุงกรอบการกำกับดูแลนโยบาย เอฟดีไอ-เอสเอ็มอี ด้วยการลดความไม่สมดุลของข้อมูลและต้นทุนธุรกรรม การออกแบบกลไกการประสานงาน ทั้งอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ จากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน ซึ่งควรเข้ากับบริบทของประเทศและระบบการกำกับดูแลโดยรวมอย่างรอบคอบ
การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ช่วยเพิ่มผลผลิตสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปิดกว้าง โปร่งใส และไม่เลือกปฏิบัติถือเป็นพื้นฐานในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจเจ้าบ้าน แรงจูงใจในการลงทุนประเภทต่างๆ เช่น การสนับสนุนทางการเงินโดยตรง การลดหย่อนภาษี การผ่อนปรนกฎระเบียบ
“หน่วยงานส่งเสริมการลงทุน (IPA) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดทำแพ็คเกจส่งเสริมการลงทุนและการอำนวยความสะดวกที่ตรงเป้าหมาย โดยรวมการรวบรวมข้อมูลข่าวกรอง เช่น การศึกษาตลาด ,กิจกรรมเฉพาะภาคส่วน เช่น งานแสดงสินค้า ภารกิจในประเทศ และความคิดริเริ่มในการมีส่วนร่วมของนักลงทุนเชิงรุก เช่น การประชุมแบบตัวต่อตัว การจัดการสอบถาม”
การส่งเสริมให้เอสเอ็มอีสามารถรับถ่ายทอดองค์ความรู้จาก เอฟดีไอ โดยเฉลี่ยแล้ว มาตรการ 63% ของนโยบายผสมผสานการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI-SME) ของสหภาพยุโรปกำหนดมาตรการที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพของเอสเอ็มอี เช่น ด้านตลาด แรงงาน ภาษี การแข่งขัน ระบบล้มละลาย ระบบการออกใบอนุญาต มาตรการต่างๆจะช่วยจูงให้ให้เอสเอ็มอีต้องการเติบโต และพร้อมมีส่วนร่วมในการพัมนาองค์ความรู้ร่วมกับการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งต้องเป็นมาตรการที่นอกเหนือจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนอื่นๆ
การเพิ่มปัจจัยทางเศรษฐกิจ โครงสร้าง และภูมิศาสตร์ ผลกระทบจาก FDI-SME ยังขึ้นอยู่กับลักษณะทางเศรษฐกิจ โครงสร้าง และภูมิศาสตร์ของประเทศและภูมิภาคเจ้าบ้าน เช่น ความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม การจัดสรรทรัพยากร หรือการมีอยู่ของเศรษฐกิจแบบรวมกลุ่ม นโยบายอุตสาหกรรมใหม่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างการลงทุนและเครือข่ายด้านนวัตกรรมให้แข็งแกร่งขึ้น รวมถึงการบูรณาการห่วงโซ่มูลค่า( GVC )ที่แข็งแกร่งขึ้น
การเสริมสร้างช่องทางการกระจายการลงทุน นับเป็นความท้าทายระดับโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับทักษะของเอสเอ็มอีเอง ซึ่งรัฐบาลต้องบริหารจัดการเพื่อให้ทักษะเอสเอ็มอี สอดคล้องกับความต้องการของการลงทุนจากต่างประเทศ และต้องให้บรรลุเป้าหมายการกระจายการลงทุนด้วย
หากหันกลับมาดูเอสเอ็มอีของไทยก็จะพบว่า ยังมีหลายประเด็นที่ต้องเร่งปรับเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
นางสาวปณิตา ชินวัตรรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยผลสำรวจสถานการณ์ด้านหนี้สินกิจการของ SME ไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นการสำรวจข้อมูลรายไตรมาสต่อเนื่อง
โดยสอบถามผู้ประกอบการ SME จำนวน 2,752 ราย ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 15 – 27 ธ.ค. 2567 พบว่า ผู้ประกอบการ SME ที่มีภาระหนี้สินมีสัดส่วนใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนอยู่ที่ 65.0% จาก 65.3% เมื่อพิจารณาตามขนาดธุรกิจ พบว่า ธุรกิจขนาดกลางมีสัดส่วนภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็น 97.1% ธุรกิจรายย่อย61.3% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนธุรกิจขนาดย่อมมีภาระหนี้สินลดลงมาอยู่ที่ 71.5%
เมื่อพิจารณาสัดส่วนประเภทแหล่งเงินกู้เปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่า ธุรกิจรายย่อยและขนาดกลางมีการพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบสถาบันการเงินเพิ่มมากขึ้น โดยธุรกิจรายย่อยหันไปพึ่งพาแหล่งเงินจากนายทุนเงินกู้เพิ่มมากขึ้น จาก 1.3% เป็น 7.4% ส่วนธุรกิจขนาดกลางมีการกู้ยืมเงินทุนจากเพื่อน/ญาติพี่น้องเพิ่มขึ้น จาก 16.2% เป็น 18.2% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ธุรกิจขนาดย่อมพึ่งพาแหล่งกู้เงินในระบบสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารของรัฐ ธนาคารพาณิชย์ บัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด เพิ่มมากขึ้น จาก 56.1% เป็น 69.7% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
เนื่องจากต้องการนำเงินไปใช้หมุนเวียนในกิจการ และ SME มองว่าปัจจัยด้านกำลังซื้อต่ำที่ทำให้ปริมาณคำสั่งซื้อลดลง คู่แข่งทางธุรกิจมีจำนวนเพิ่มขึ้น และสภาพคล่องที่ลดลง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อปัญหาด้านการเงินของธุรกิจ เมื่อต้องการแหล่งเงินทุนหรือยื่นกู้สินเชื่อยังเจอกับปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น เกณฑ์การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวด รวมถึงธุรกิจที่ไม่ผ่านเกณฑ์การประเมินความสามารถในการชำระเงินคืนอีกด้วย