ครม. ไฟเขียวร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน ดันไทยเป็น Financial Hub ภูมิภาค

ครม.ไฟเขียว พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน หวังดึงลงทุน 8 ธุรกิจ เดินหน้าสร้างไทยเป็นศูนย์กลางการเงินอาเซียน และผู้เล่นสำคัญในเวทีโลก
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ (4 ก.พ.68) เห็นชอบในหลักการ ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจ ทางการเงิน พ.ศ. ... โดยหลังจากนี้ จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจร่างกฎหมายตามขั้นตอนต่อไป
โดยกฎหมายนี้จะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคได้ในอนาคต และเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โดยร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... เป็นกฎหมายชุดใหม่ 96 มาตรา มีหลักการสำคัญ ได้แก่
กำหนด 8 ธุรกิจเป้าหมาย
ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย และสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ให้เข้ามาลงทุน และตั้งบริษัทในไทย ได้แก่ 1.ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ 2.ธุรกิจบริการ การชำระเงิน 3.ธุรกิจหลักทรัพย์ 4.ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 5.ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 6.ธุรกิจประกันภัย 7.ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ 8.ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนด
โดยจะต้องตั้งในเขตพื้นที่ ที่กำหนด และต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด และสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น
ทั้งนี้ จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้
(1) ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้
(2) ด้านตลาดทุน สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้
(3) ด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้
(4) ด้านธุรกิจบริการการชำระเงิน สามารถเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้
(5) ด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท
การอนุญาต และกำกับดูแล
จะมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA) ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐเพื่อให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็น Financial Hub และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเข้ามาลงทุน
อีกทั้ง มีคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน เป็นซูเปอร์บอร์ด 8 คน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และมีคณะกรรมการ ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง, ปลัดกระทรวงมหาดไทย, ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.),เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
โดยจะทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำหนดแนวทางการส่งเสริม กำหนดประเภท และขอบเขตของการอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาต การเพิกถอน และการกำกับดูแล โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดหรือมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกัน และปราบปรามการฟอกเงิน และการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ที่เป็นมาตรฐานสากล
สิทธิประโยชน์
ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายภายใต้ Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษี และมิใช่ภาษีตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การให้กรรมสิทธิ์ในการถือครองห้องชุดเพื่อการประกอบธุรกิจ และอยู่อาศัย เป็นต้น
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การพัฒนาไทยให้เป็น Financial Hub จะเป็นการสร้างโอกาสใหม่ให้ประเทศไทยในหลายด้านด้วยกัน เมื่อสามารถดึงดูดธุรกิจด้านการเงินเข้ามาลงทุนในไทยได้จะทำให้เกิดพัฒนาระบบการเงิน และนวัตกรรมทางการเงิน ซึ่งการเข้ามาของผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินระดับโลกจะนำมาซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงินช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินได้สะดวก และทันสมัย ทำให้ไทยระบบนิเวศการเงินที่ทันสมัย และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค นอกจากนี้ไทยจะเป็นประเทศที่เปิดกว้างสำหรับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลใน Financial Hub แห่งหนึ่งในโลกด้วย
ขณะเดียวกัน จะเกิดการพัฒนาทักษะแรงงานไทย การเข้ามาของผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินระดับโลก จะช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และทักษะทางการเงินที่ทันสมัย และเปิดโอกาสให้แรงงานไทยได้ทำงานในบริษัทชั้นนำ และพัฒนาศักยภาพของตนเอง
อีกทั้ง สร้างโอกาสการจ้างงาน และรายได้ที่สูง โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการเงิน เทคโนโลยี และบริการสนับสนุนด้านการเงิน เป็นการส่งเสริมอาชีพที่มีรายได้สูง แรงงานไทยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากการลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจต่างชาติจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารสำนักงาน ระบบขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น และทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจทางการเงินเพื่อขยายโอกาสการเติบโต
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์