ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดต่ำสุดรอบ 1 เดือน หลังสหรัฐระงับภาษีเม็กซิโก

ราคาน้ำมันดิบผันผวนในวันจันทร์ ปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่ตลาดประเมินผลกระทบของแผนการขึ้นภาษีนำเข้ากับแคนาดา เม็กซิโก และจีนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
รอยเตอร์ส รายงานภาวะตลาดน้ำมันโลกวันจันทร์(3 ก.พ.) ว่า ความกังวลเกี่ยวกับการนำเข้าน้ำมันดิบจาก 2 ซัพพลายเออร์น้ำมันดิบหลักไปยังสหรัฐทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเช้าของการซื้อขาย ก่อนที่ทรัมป์จะระงับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกเป็นเวลา 1 เดือน เนื่องจากเม็กซิโกตกลงที่จะเสริมกำลังที่ชายแดนทางตอนเหนือเพื่อหยุดยั้งการลักลอบส่งยาเสพติดผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเฟนทานิล เข้าสหรัฐ
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาส่งมอบในเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 29 เซ็นต์ หรือ 0.4% จากราคาปิดในวันศุกร์ ปิดตลาดที่ 75.96 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ล่วงหน้าของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 63 เซ็นต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 73.16 ดอลลาร์
ราคาปิดตลาดของน้ำมันดิบเบรนท์ถือเป็นราคาที่ต่ำที่สุดสำหรับน้ำมันเบรนท์ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม
ตลาดวิตกว่า การที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนในวันอังคารนั้น อาจทำให้เกิดสงครามการค้าที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของโลกและจุดชนวนให้เงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง
ภาษีที่เสนอนี้รวมถึงภาษี 25% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่จากเม็กซิโกและแคนาดา ภาษี 10% สำหรับการนำเข้าพลังงานจากแคนาดา และภาษี 10% สำหรับการนำเข้าจากจีน แต่ล่าสุดทรัมป์ได้ระงับแผนการขึ้นภาษีต่อเม็กซิโกและแคนาดาไว้เป็นเวลา 30 วัน
อมาร์พรีต ซิงห์ นักวิเคราะห์ของธนาคาร Barclays ระบุในบันทึกว่า “ภาษีนำเข้าพลังงานจากแคนาดาน่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงานในประเทศมากกว่าการนำเข้าจากเม็กซิโก และอาจส่งผลเสียต่อเป้าหมายหลักประการหนึ่งของประธานาธิบดี ซึ่งก็คือการลดต้นทุนพลังงาน”
ตามข้อมูลของกระทรวงพลังงานสหรัฐ น้ำมันจากแคนาดาและเม็กซิโกคิดเป็นสัดส่วนรวมกันประมาณหนึ่งในสี่ของปริมาณน้ำมันที่โรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐใช้แปรรูปเป็นเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเบนซินและน้ำมันเตา
ภาคการผลิตของสหรัฐ เติบโตเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีในเดือนมกราคม แต่การฟื้นตัวน่าจะอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากภาษีของทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้ราคาของวัตถุดิบสูงขึ้นอีกและทำให้ห่วงโซ่อุปทานตึงตัว
ซูซาน คอลลินส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐสาขาบอสตัน กล่าวว่าภาษีที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศอาจผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ตั้งข้อสังเกตว่ายังมีความไม่แน่นอนมากมาย และธนาคารกลางสหรัฐก็ไม่มีความเร่งด่วนที่จะเปลี่ยนทิศทางของนโยบายการเงิน
เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมราคาที่สูงขึ้น ซึ่งอาจลดความต้องการพลังงานลงการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นและชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมกล่าวว่าภาษีศุลกากรจะทำให้ต้นทุนของน้ำมันดิบที่มีความหนาแน่นสูงซึ่งโรงกลั่นน้ำมันของสหรัฐ ต้องการเพื่อการผลิตที่เหมาะสม สูงขึ้น
มูเกช ซาห์เดฟ จากบริษัท Rystad Energy คาดว่า ราคาน้ำมันเบนซินที่ปั๊มในสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนจากการสูญเสียน้ำมันดิบสำหรับโรงกลั่นและการสูญเสียผลิตภัณฑ์นำเข้า ในขณะที่ทรัมป์ได้เตือนไปแล้วว่าภาษีศุลกากรดังกล่าวอาจทำให้ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบใน “ระยะสั้น”
ราคาน้ำมันเบนซินล่วงหน้าของสหรัฐพุ่งขึ้นประมาณ 3% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และพันธมิตรอย่างรัสเซีย ซึ่งเรียกรวมกันว่าโอเปกพลัส ตกลงที่จะยึดมั่นในนโยบายการค่อยๆ เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันตั้งแต่เดือนเมษายน และถอดหน่วยงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐออกจากแหล่งข้อมูลที่ใช้ในการติดตามการผลิตและโอเปกพลัสยึดมั่นตามข้อตกลงด้านอุปทาน
รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ โนวัค กล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบร่วมระดับรัฐมนตรี (JMMC) ของกลุ่มโอเปกพลัส ได้หารือถึงการเรียกร้องของทรัมป์ในการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน
บริษัท Vitol ผู้ค้าพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ เปิดเผยแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2040 ว่า ความต้องการน้ำมันโลกน่าจะใกล้เคียงกับระดับปัจจุบัน โดยการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายทศวรรษนี้จะถูกชดเชยด้วยการลดลงในช่วงปลายทศวรรษ 2030