‘สุรเกียรติ์’ แนะไทยตั้งผู้แทนพิเศษ เจรจาตรงสหรัฐฯ ป้องกันทรัมปขึ้นภาษี

‘สุรเกียรติ์’ แนะไทยตั้งผู้แทนพิเศษ เจรจาตรงสหรัฐฯ ป้องกันทรัมปขึ้นภาษี

“สุรเกียรติ์ เสถียรไทย”ปาฐกถาเปิดเวทีสัมมนาจุฬา แนะwตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลเจรจาสหรัฐฯ ระบุต้องเจรจาต้องเป็นเอกภาพ ไม่ให้ผลประโยชน์ของเอกชนขัดกัน แนะผนึกอาเซียนสร้างอำนาจต่อรองกับสหรัฐ

วันนี้ (3 ก.พ.) ในงานสัมมนา Chula Thailand Presidents Summit 2025 ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในหัวข้อ “Future Thailand: The Comprehensive View” ว่าความเสี่ยงในด้านสงครามการค้า หากมีการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในสหรัฐ ผลต่อประเทศไทย คือ หากสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีน สินค้าจีนจะต้องกระจายไปต่างประเทศ ทางหนึ่งอาจเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งต้องเตรียมรับมือ ว่าจะต่อต้านหรือเข้าร่วมอย่างไร

นอกจากนี้ทิศทางอนาคตของประเทศไทยที่สำคัญจึงเป็นการวางจุดยืนทางการเมือง และยุทธศาสตร์ทั้งภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะการเจรจาร่วมกับสหรัฐ ซึ่งหากภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และภาคประชาสังคมไม่ร่วมมือกันจะมีความอันตรายมาก เพราะการเจรจาระหว่างสหรัฐจะเป็นการเจรจาข้ามภาค ไม่ได้เป็นเพียงการเจรจาในด้านภาษีอย่างเดียวแล้ว ทำให้ประเทศไทยจะมีความอลหม่านมาก ภาคเอกชนจะแตกกัน เพราะผลประโยชน์ต่างกัน รัฐบาลจะมีปัญหาในการทำงานให้เป็นเอกภาพ เพราะรับผิดชอบกันคนละกระทรวง ซึ่งแต่ละกระทรวงก็มาจากพรรคการเมืองคนละพรรคด้วย

นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำคือ แต่งตั้งผู้แทนพิเศษรัฐบาล ไปทำหน้าที่ในการเจรจาหารือในแต่ละประเทศและแต่ละเรื่องตามที่ต้องการ ซึ่งเคยทำมาแล้วในอดีต เช่น ด้านพลังงาน สุขภาพต่างๆ ซึ่งแต่ละเรื่องที่ต้องหารือในสหรัฐ มีกรรมาธิการเฉพาะเพื่อดูแลในแต่ละกลุ่ม ประเทศไทยจึงต้องตั้งผู้แทนพิเศษเหล่านี้ในการเข้าไปหารือแต่ละสาย อาทิ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นตัวแทนไปหารือในด้านต่างๆ อย่างการเกษตร เป็นต้น

“การต่อรองข้ามภาคลักษณะแบบนี้ ประเทศไทยต้องจับมือกับประเทศในอาเซียน ใกล้ชิดกันมากขึ้น ประเมินว่าสหรัฐสนใจในด้านใด อาทิ อุยกูร์ ที่สหรัฐไม่อยากให้ส่งกลับ รวมถีงเมียนมา ว่าเราจะสามารถหารือร่วมกันได้อย่างไร โดยมองว่าเราจำเป็นต้องรวมพลังภาครัฐในทุกกรม ทุกเอกชนทั้งหมด หากอำนาจต่อรองของไทยไม่พอก็ไปประเทศเพื่อนบ้านลุ่มแม่น้ำโขง หากไม่พอต้องไปอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ" นายสุรเกียรติกล่าว 

สำหรับในอนาคตประเทศคือ ประเทศไทยที่มีความพร้อมต่อความปั่นป่วนเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น มีความยืดหยุ่น ล้มเป็นลุกเป็น การปรับตัวเปลี่ยนแปลงทั้งความคิด ผสมผสานได้เร็ว ผู้นำทุกภาคส่วนและองค์กรต้องมีความพร้อมในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้ทันสถานการณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องการความเป็นผู้นำจากรัฐบาล ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ที่ต้องทำงานร่วมกัน