ส่องพ.ร.ก.ป้องกันคอลเซ็นเตอร์ฉบับใหม่ ติดดาบระงับธุรกรรม-ป้องกันฟอกเงิน

ส่องพ.ร.ก.ป้องกันคอลเซ็นเตอร์ฉบับใหม่ ติดดาบระงับธุรกรรม-ป้องกันฟอกเงิน

ส่องสาระสำคัญพ.ร.ก.แก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ป้องกันมิจฉาชีพออนไน์ ให้เอกชนทั้งค่ายมือถือ ธนาคาร แพลตฟอร์มออนไลน์ ร่วมรับผิดชอบความเสียหาย พร้อมให้อำนาจ กสทช.ระงับซิมม้า ซิมที่ไม่ปกติได้ ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ป้องกันการฟอกเงิน พร้อมเพิ่มโทษผู้กระทำผิด

KEY

POINTS

  • ส่องสาระสำคัญพ.ร.ก.แก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ป้องกันมิจฉาชีพออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ ฉบับที่ผ่าน ครม.
  • พบตัวเลขผู้เสียหายรวมในปีที่ผ่านมากว่า 4 หมื่นล้านบาท
  • พ.ร.ก.ใหม่ได้กำหนดให้เอกชนทั้งค่ายมือถือ ธนาคาร แพลตฟอร์มออนไลน์ ร่วมรับผิดชอบความเสียหาย
  • พร้อมให้อำนาจ กสทช.ระงับซิมม้า ซิมที่ไม่ปกติได้ ห้ามซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ป้องกันการฟอกเงิน พร้อมเพิ่มโทษผู้กระทำผิดมากขึ้น 

ภัยทางไซเบอร์ถือเป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีความรุนแรง โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบคอลเซ็นเตอร์ หรือการหลอกลวงผ่านลิงก์หรือแอพพลิเคชั่นออนไลน์ซึ่งจากข้อมูลสถิติการฉ้อโกงและหลอกลวงประชาชนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏว่ามีประชาชนคนไทยถูกหลอกลวงได้รับความเดือดร้อนและสูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

โดยจากสถิติในช่วงประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - พฤศจิกายน 2567 มีจำนวนคดีออนไลน์รวม 402,542 คดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวม 42,662 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่การกระทำความผิดดังกล่าวจะขยายตัวและแพร่หลายออกไปอย่างรวดเร็ว เกิดผลร้ายและเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศรัฐบาลจึงได้มีการเร่งการปรับปรุงกฎหมายฉบับเดิมเพื่อให้ครอบคลุมการแก้ปัญหานี้ได้อย่างรวดเร็ว

ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2568 ได้เห็นชอบหลักการร่างพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ  ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566

โดยเพิ่มมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ โดยเพิ่มหน้าที่ให้หน่วยงานของรัฐหรือผู้ให้บริการหมายโทรศัพท์ในการสั่งระงับหรือยกเลิกการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกใช้หรืออาจถูกใช้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะเพื่อให้การคืนเงินแก่ผู้เสียหายให้เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล

โดยร่างพระราชกำหนดในเรื่องนี้มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพิ่มเติม โดยเพิ่มเติมมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์และมิจฉาชีพ โดยสรุปดังนี้

 1.เพิ่มหน้าที่ให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือมีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราว เมื่อพบเหตุอันควรสงสัยเอง หรือได้รับข้อมูลว่ามีเลขหมายโทรศัพท์มือถือต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (การระงับซิมม้าหรือซิมที่ต้องสงสัยในการกระทำความผิด)

2.ห้ามการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์ม Peer-to-Peer Lending (P2P) โดยห้ามให้บริการหรือแสดงว่าพร้อมจะให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ที่มิได้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการอุปโภคบริโภค (การซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างผิดกฎหมาย) และให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมีหน้าที่ปฏิเสธการเปิดบัญชีและระงับการให้บริการหรือการทำธุรกรรมกับลูกค้าที่มีรายชื่อหรือใช้กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี             (ลดปัญหาการฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล)

3. กำหนดขั้นตอนหรือกระบวนการพิจารณาโดยเฉพาะให้คณะกรรมการธุรกรรมเพื่อคืนเงินแก่ผู้เสียหาย โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการธุรกรรมตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเป็นผู้พิจารณาคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายโดยไม่ต้องรอให้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อพิจารณามีคำสั่งถึงที่สุดก่อน อันเป็นการทำให้ขั้นตอนกระบวนพิจารณาการคืนเงินแก่ผู้เสียหายเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น

และ 4.เพิ่มเติมบทกำหนดโทษสำหรับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในกรณีดังต่อไปนี้ เช่น กำหนดโทษสำหรับผู้ให้บริการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทคริปโทเคอร์เรนซี โทเคนดิจิทัล และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่นำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดออนไลน์มาฟอกเงินโดยนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสกุลดิจิทัล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

กำหนดโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กำหนดโทษสำหรับผู้ซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคลต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งให้สถาบันการเงินหรือผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ผู้ให้บริการอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือสื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี