เศรษฐกิจที่ดีควรเป็นแบบไหน | วิทยากร เชียงกูล

วิชาเศรษฐศาสตร์ศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของการหาวิธีการผลิตและการกระจายสิ่งของและบริการต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง นักเศรษฐศาสตร์มีบทบาทต่อประเทศอย่างสำคัญทั้งในภาครัฐและเอกชน
สังคมมักมีความเชื่อว่า นักเศรษฐศาสตร์คือคนที่ใช้ความรู้ในการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งของหน่วยงานและของประเทศได้ดีที่สุด
แต่ทำไมคนอย่าง อ.ป๋วย อึ้งภากรณ์ ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญรุ่นแรกๆ ของไทยถึงได้กล่าว (เมื่อราวปี พ.ศ. 2528) ว่า
“ทุกวันนี้มีการทำบาปและอาชญากรรมในนามของนักเศรษฐศาสตร์”
ที่อ.ป๋วยกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านมองว่านักเศรษฐศาสตร์จำนวนไม่น้อยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ ธุรกิจ เพื่อผลกำไรสูงสุดสำหรับเอกชนมากเกินไป จนละเลยการกระจายผลผลิตและบริการ (ความมั่งคั่ง) อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความยากจน ปัญหาสังคมและความด้อยพัฒนาต่างๆ ตามมามากมาย
ประโยคนี้ของอาจารย์ป๋วยน่าจะเป็นบทวิจารณ์นักเศรษฐศาสตร์สำนักตลาดเสรีที่รุนแรงที่สุด แต่ข้อความนี้ผมแปลมาจากปาฐกถาฉบับภาษาอังกฤษที่อาจารย์ป๋วยไปพูดให้กับชุมชนนานาชาติฟัง (จากหนังสือ Best wish For Asia, 1975) จึงเป็นประโยคที่ไม่ค่อยแพร่หลายในสังคมไทย
ปาฐกถาและงานเขียนภาษาไทยของอ.ป๋วยส่วนที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันนี้ก็มีอยู่ เพราะท่านเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น แต่ท่านมักจะใช้คำสุภาพอ่อนโยนมากกว่านี้
เพราะอ.ป๋วยเป็นนักปฏิรูปแนวสันติวิธี และเป็นนักการศึกษาผู้คิดว่าการจะแก้ไขปัญหาประเทศให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้คือ ต้องชี้แนะให้การศึกษาประชาชนให้รู้ว่าปัญหาเศรษฐกิจสังคมคืออะไร ควรจะแก้ไขกันอย่างไร
โดยพื้นฐานแล้ว อ.ป๋วยเป็นนักเศรษฐศาสตร์แนวเสรีนิยมแบบคลาสสิก ที่มีจุดยืนเน้นเรื่องส่วนรวมและรักความเป็นธรรม ไม่ได้เป็นคนที่มีแนวคิดหัวรุนแรงแบบนักสังคมนิยมตามที่พวกฝ่ายขวา (จารีตนิยม อำนาจนิยม) หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 กล่าวหาท่านแต่อย่างใด
แต่ชนชั้นนำและนักเศรษฐศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ผู้ได้รับอิทธิพลจากสหรัฐฯ และโลกตะวันตก เป็นพวกที่สนับสนุนระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมแบบสุดโต่ง โดยเชื่อหรืออ้างว่า เมื่อพวกเขาทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตให้ได้มากที่สุดแล้ว ความมั่งคั่งจะค่อยเลื่อนไหลไปสู่ประชาชนทั้งประเทศได้เอง
อ.ป๋วยเคยเชื่อแบบนักเศรษฐศาสตร์แนวตลาดเสรีว่าถ้าเศรษฐกิจประเทศเติบโตแล้วต่อไปคนทั้งประเทศก็จะร่ำรวยขึ้นตามมา
แต่อ.ป๋วยได้พบความเป็นจริงว่าประเทศไทยที่ท่านมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจภาครัฐในหลายตำแหน่งนั้น เศรษฐกิจเติบโตขึ้นมาโดยตลอด 20-30 ปีก็จริง แต่คนชนบทและสลัมในเมืองยังยากจน การศึกษาต่ำ ประเทศไทยยังด้อยพัฒนาในหลายเรื่องมาก
อ.ป๋วยจึงวิจารณ์ว่าต้องปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมหลายเรื่อง เช่น ปฏิรูปที่ดิน, ปฏิรูปการเกษตร ปฏิรูปการคลัง การธนาคาร การศึกษา ฯลฯ เพื่อกระจายทรัพย์สิน รายได้ การศึกษา บริการทางสาธารณสุข สังคมอื่นๆ สู่ประชาชนทั้งประเทศอย่างทั่วถึง เป็นธรรม
เศรษฐกิจสังคมไทยจึงจะเจริญก้าวหน้าเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง
อ.ป๋วยมองตั้งแต่ราวปี 2512 ว่าที่การเมืองไทยยังคงล้าหลัง ไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะประชาชนขาดการศึกษาที่มีคุณภาพ ท่านจึงหันมาสนใจเรื่องการพัฒนาการศึกษาและการพัฒนาชนบทมากขึ้น
โดยคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่ากว่าการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจล้วนๆ แต่ว่าน่าเสียดายที่แนวคิดเชิงปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมของอ.ป๋วยที่ประเทศไทยน่าจะมีโอกาสทำได้มากในช่วงหลังขบวนการนักศึกษาประชาชน 14 ตุลาคม ไม่ได้รับการสนับสนุน
เพราะชนชั้นนำในภาครัฐบาลจารีตนิยมและมองเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าที่จะมีวิสัยทัศน์มองการพัฒนาทางสังคมในระยะยาว
นักเศรษฐศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ การเมืองโดยเฉพาะคนที่ได้เป็นรัฐบาลหรือที่ปรึกษารัฐบาล คือนักเศรษฐศาสตร์แนวตลาดเสรีที่คิดได้ระยะสั้นๆ ว่า การส่งเสริมการลงทุนการค้าขายมากๆ คือหนทางเดียวที่จะทำให้เศรษฐกิจประเทศเจริญเติบโตแล้วค่อยๆ เลื่อนไหลไปให้ประชาชนทั่วประเทศเอง
ทั้งๆ ที่ความจริงอย่างน้อย 50 ปีที่ผ่านมาได้ พิสูจน์ว่าเศรษฐกิจไทยเป็นระบบทุนนิยมผูกขาด/กึ่งผูกขาด การแข่งขันเป็นแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา ทำให้คนรวยอยู่แล้วรวยมากขึ้น เศรษฐกิจโดยรวมทั้งประเทศเติบโตจริง แต่ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกลับถ่างกว้างมากขึ้น ความยากจน ปัญหาสังคม ปัญหาต่างๆ ฯลฯ เพิ่มขึ้น ซับซ้อนขึ้น
ราว 20 ปีที่แล้ว เมื่อโซเวียตรุสเซียซึ่งเคยเป็นสังคมนิยมแบบรัฐมีอำนาจมากมาเกือบ 1 ศตวรรษล้มเหลว เปลี่ยนไปเป็นทุนนิยม จีนและประเทศสังคมนิยมอื่นๆ ก็ปรับระบบเศรษฐกิจไปเป็นตลาดเสรีมากขึ้น
ทำให้นักการเมืองและนักเศรษฐศาสตร์แนวตลาดเสรียิ่งเชื่อและอ้างว่าสังคมนิยมแพ้แล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการพัฒนาแนวตลาดเสรีเท่านั้น
แต่ความจริงระบบทุนนิยมไม่ได้ชนะจริง และสร้างปัญหามากมาย รวมทั้งปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำชะลอตัวและปัญหาการทำลายระบบนิเวศ
ประเทศแถบสแกนดิเนเวีย รวมทั้งเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ คานาดา ฯลฯ ที่ใช้เศรษฐกิจแนวผสมระหว่างการแข่งขันในระบบตลาดเสรี และสังคมนิยมประชาธิปไตยและรัฐสวัสดิการ กระจายทรัพย์สิน รายได้ การพัฒนาทางสังคม การศึกษา ฯลฯ ที่ทั่วถึงกว่าและดูแลเรื่องระบบนิเวศได้มากกว่า ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ประเทศแบบทุนนิยมสุดโต่งอย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฯลฯ
เศรษฐกิจที่ดีไม่ใช่แปลว่าว่าจะต้องมีอัตราเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) สูงมากเสมอไป
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การผลิต การใช้ทรัพยากร ฯลฯ อย่างมีประสิทธิภาพ การกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจการเมืองสังคมไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาทางสังคม วัฒนธรรมในทุกมิติและพัฒนาต่อได้ยั่งยืนถึงรุ่นลูกหลาน
การพัฒนาทางสังคมที่ดียังคงรวมถึงการพัฒนาคนให้มีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม เข้าใจว่าคนเราต้องพึ่งพาอาศัยกัน ร่วมมือกัน แข่งขันกันอย่างเป็นธรรม แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติวิธี สังคมจึงจะเจริญงอกงามในทุกมิติ
มนุษย์ไม่ใช่เป็นสัตว์เศรษฐกิจ แบบที่นักเศรษฐศาสตร์แนวทุนนิยมเชื่อ แต่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมในหลายมิติ สิ่งที่มนุษย์ต้องการนอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้วคือสุขภาพทั้งทางกาย ทางใจ การพัฒนา ความคิดจิตใจ ศิลปวัฒนธรรม
นักจิตวิทยายืนยันว่ามนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเข้าใจคนอื่น เห็นอกเห็นใจคนอื่น มีความรักใคร่คนในสังคมฉันท์พี่น้อง เพื่อนฝูง จะก่อประโยชน์ทวีคูณต่อจิตใจของทุกคนทั้งผู้ให้และผู้รับ.







