เปิดรายงาน ‘สภาพัฒน์’ มหันตภัย PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า – ฆ่าตัวตาย

ย้อนดูรายงานภาวะสังคมสภาพัฒน์ รายงานความน่ากลัวจากปัญหา PM2.5 พบคนป่วยทางเดินหายใจและโรคที่เกี่ยวข้อง กว่า 10.5 ล้านคน ยกรายงานองค์การอนามัยโลกระบุความสัมพันธ์ระหว่างโรคซึมเศร้า - ฆ่าตัวตายเพิ่ม และส่งปัญหาต่อเนื่องสุขภาพจิตในเด็ก-เยาวชน
ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ถือเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยเผชิญปัญหาคุณภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนธันวาคมของทุกปีเกิดมลพิษทางอากาศหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) เกินค่ามาตรฐานหลายพื้นที่ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจากรถยนต์ และการเผาซากวัสดุทางการเกษตร แม้ว่าการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะถูกกำหนดเป็นวาระแห่งชาติมานานหลายปี ซึ่งเน้นมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวแต่คนไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่น PM2.5 เหมือนปีที่ผ่านมาๆ
PM2.5 มีผลกระทบในหลายด้านโดยเฉพาะในด้านสุขภาพ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในการรายงานผลกระทบด้านสังคมได้มีการให้ข้อมูลเรื่องของผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจาก PM2.5 มาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2566 สศช.เคยรายงานว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจจากสาเหตุที่เกิดจาก PM2.5 กว่า 10.5 ล้านคน
นอกจากนี้ในการรายงานภาวะสังคมในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 สศช.ได้นำเสนอผลกระทบจาก PM2.5 ต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยอ้างถึงรายงานของผลการศึกษาองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ฝุ่น PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายสูงขึ้น หากลดระดับฝุ่น PM2.5 ที่ระดับ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรจะช่วยลดอัตราซึมเศร้าได้ถึง 2.5%
สอดคล้องกับผลการศึกษาของสหราชอาณาจักรที่ระบุว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อสุขภาพจิตภายใน จากการศึกษาในหลายประเทศพบว่า สภาวะโลกร้อนและฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 มีผลกระทบต่อทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะกรณีปัญหาฝุ่น PM 2.5 พบว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าในเยาวชนอายุ 18 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นสูงถึง 20% ซึ่งกรณีของไทยจะต้องให้ความสำคัญกับปัญหาดังกล่าวมากยิ่งขึ้นเพราะปัญหานี้จะกระทบกับจิตใจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในระยะยาว
นอกจากนั้นผลที่เกิดกับสุขภาพจาก PM2.5 ยังเกี่ยวข้องกับการอักเสบของสมอง ทำลายเยื่อประสาท และการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยที่เด็ก คนสูงวัย และกลุ่มประชากรที่เสี่ยงในสังคมมีโอกาสได้รับผลกระทบมากที่สุด
รวมทั้งข้อมูลงานวิจัยทางการแพทย์ของจีนเกี่ยวกับการติดเชื้อโควิด-19 ชี้ว่าฝุ่น PM2.5 กับไวรัสเป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันเนื่องจากฝุ่น PM2.5 ทำให้เกิดอาการระคายเคือง เยื่อบุตา ปาก ทางเดินหายใจเมื่อเกิดการอักเสบแล้ว ไวรัสจะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย
สำหรับตัวอย่างของหลายประเทศที่เผชิญวิกฤตฝุ่น PM2.5 อย่างหนักได้ดำเนินมาตรการลดฝุ่นละอองอย่างจริงจังและได้ผลดีอาทิ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนสามารถลดปริมาณฝุ่น PM2.5 ในปี 2018 ได้ 9.3% เหลือ 39 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร โดยใช้มาตรการหลักในการเพิ่มคุณภาพน้ำมันดีเซลให้ปล่อยซัลเฟอร์ได้ไม่เกิน 10 ppm จากเดิม 50 ppm
ประเทศเกาหลีใต้ผ่านร่างกฎหมายการจัดการมลพิษทางอากาศ และปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกฝ่ายรวมถึงภาคประชาชนจะต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหานี้ให้ได้ผลอย่างจริงจัง