ปธ.กลุ่มเหล็ก ให้กำลังใจ 'เอกนัฏ' เข้มสินค้าไร้มาตรฐาน สู้ทุนสีเทา

ประธานกลุ่มเหล็ก "ส.อ.ท." ให้กำลังใจ "เอกนัฏ" สู้ทุนสีเทา สกัดเหล็กต่างประเทศไหลบ่าเข้าไทย ตรวจเข้มมาตรฐานนำเข้า
นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า กล่าวถึงสถานการณ์เหล็กในไทยว่า ขณะนี้การประกาศห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมปี 2562 นั้น ปัจจุบันยังมีปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภคอยู่มาก
อีกทั้ง ยังมีปัญหาการใช้อัตรากำลังการผลิตที่ต่ำมาก ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ประกาศชะลอการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือการขยายโรงงานดังกล่าวออกไปและคาดว่าท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีประกาศกำหนดต่อไป
โดยปี 2567 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพียงประมาณ 25-26% เท่านั้น ซึ่งเป็นอัตราการผลิตที่ต่ำจนมีโรงงานขนาดใหญ่ประวัติยาวนานต้องปิดกิจการหรือหยุดการผลิต เนื่องจากไม่สามารถแบกรับสภาวะขาดทุนต่อไปอีกได้ หากไม่มีการห้ามตั้งห้ามขยาย แล้วมีการย้ายโรงงาน ย้ายเครื่องจักรจากประเทศที่มีกำลังการผลิตส่วนเกิน ดังตัวอย่างการเข้ามาตั้งโรงงานเหล็กเส้นด้วยเตาอินดักชั่นในช่วงก่อนปี 2562 ที่รัฐบาลจีนได้ปิดโรงงานเหล่านั้น
ทั้งนี้ เนื่องจากประเด็นด้านกำลังการผลิตส่วนเกิน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านการควบคุมคุณภาพสินค้า หากมีการย้ายโรงงานผลิตเหล็กเส้นมาเพิ่มอีกก็จะทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำมากอยู่แล้วต่ำลงไปอีกจนถึงขั้นที่จะมีโรงงานที่ต้องหยุดกิจการหรือปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ปัจจุบันกำลังการผลิตเหล็กของประเทศจีนทั้งหมดประมาณ 1,100 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศจีน ประมาณ 900 ล้านตันต่อปี จึงมีกำลังการผลิตส่วนเกินประมาณ 200 ล้านตันต่อปี ปริมาณการส่งออกสู่ตลาดโลกในปี 2567 คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ที่กว่า 110 ล้านตัน เนื่องจากสถานการณ์ดีมานด์ของประเทศจีนยังไม่ดีขึ้นและประเทศจีนยังคงรักษาอัตราการผลิตในระดับสูงเกือบเต็มกำลังไว้เพื่อรักษาการจ้างงานในประเทศและรักษาความได้เปรียบเชิงขนาด และมุ่งส่งออกในระดับราคาที่ต่ำ
ดังนั้น การไหลบ่าของผลิตภัณฑ์เหล็กจากประเทศจีนก็ยังคงเป็นประเด็นความท้าทายอย่างต่อเนื่องสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศที่เป็นเป้าหมายในการส่งออกของจีน เช่น อาเซียนรวมทั้งประเทศไทยต่อไป ดังนั้นมาตรการทางการค้าเพื่อความเป็นธรรมในการแข่งขันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งนี้ จากการเข้ามาตั้งโรงงาน และการไหลบ่าของผลผลิตทางอุตสาหกรรมส่วนเกินความต้องการ รวมทั้งหากประธานาธิบดีทรัมป์เร่งมาตรการการค้าตามที่ได้ประกาศไว้ จะยิ่งซ้ำเติมความยากลำบากในการแก้ปัญหาของภาคอุตสาหกรรมอีกหลายกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ใช่เฉพาะอุตสาหกรรมเหล็กเท่านั้น ซึ่งนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. และทีมงานได้นำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้กับภาครัฐที่เกี่ยวข้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม
"นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงปลัด ผู้บริหาร เช่น สศอ. กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสมอ. ได้ทุ่มเทปฏิบัติราชการอย่างเต็มที่เป็นที่ประจักษ์ชัด ทั้งการกำหนดนโยบายของท่านรัฐมนตรี และการดำเนินการสู่การปฏิบัติอย่างเข้มแข็งรวดเร็ว"
สำหรับเรื่องของเหล็กเส้น ปัจจุบันมีผู้ผลิตด้วยกระบวนการหลอมเหล็ก 2 แบบ คือแบบเตาอาร์คไฟฟ้า กับ แบบที่ผลิตด้วยเตาอินดักชั่นที่มีการย้ายฐานมาก่อนหน้านี้แล้ว การแข่งขันด้านการซื้อวัตถุดิบ และการแข่งขันด้านราคามีความรุนแรงด้วยเหตุที่มีดีมานด์น้อยกว่ากำลังการผลิตอย่างมาก การผลิตเหล็กเส้นจากกระบวนการทั้งสองแบบ หากมีการดำเนินการด้วยธรรมาภิบาล มาตรฐานความปลอดภัย มาตรฐานสวัสดิการของพนักงาน มาตรฐานการรักษาสิ่งแวดล้อม และ มาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์ในระดับเดียวกัน ต้นทุนการผลิตก็จะไม่แตกต่างกันมาก
ทั้งนี้ หากขาดธรรมาภิบาล มุ่งลดต้นทุนเพื่อให้สามารถตัดราคา ลดราคาขาย เพิ่มส่วนแบ่งตลาด จากการลดมาตรฐานการดำเนินงานต่างๆ ลง มิใช่จากความสามารถในการแข่งขันที่แท้จริง จะอันตรายทั้งต่อ ผู้บริโภค อุตสาหกรรมต่อเนื่อง พนักงาน และสิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นการเอาเปรียบคู่แข่งในอุตสาหกรรมและผู้บริโภคด้วย โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคืออันตรายต่อความมั่นคงแข็งแรงของอาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ของผู้บริโภค
"กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กขอเป็นกำลังใจให้กับกระทรวงอุตสาหกรรม ประสบความสำเร็จในการจัดการกับความไม่ถูกต้องต่างๆ ซึ่งความคาดหวังในลำดับต่อไปคือ มาตรการห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานเหล็กในส่วนที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตต่ำมากๆ รวมถึงการจัดการกับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและเร่งรัดการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเพิ่มเติมโดย สมอ. ซึ่งที่ผ่านมาต้องขอบคุณทาง สมอ. ที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาอย่างเข้มแข็งเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค"
สำหรับข่าวลือเรื่องทุนสีเทากดดันเจ้าหน้าที่และข่มขู่ทุ่มเงินหลักร้อยล้านบาทเพื่อจะเปลี่ยนรมต.อุตสาหกรรมนั้น หากมีการวิ่งเต้นดังกล่าว กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กยังเชื่อมั่นว่าจากผลงานและเสียงชื่นชมสนับสนุนจากทุกภาคส่วนภาคอุตสาหกรรมที่มีธรรมาภิบาลและจากภาคประชาชนที่ได้รับการปกป้องทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพสินค้า จะให้การสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล และกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของท่าน รมต.เอกนัฏ อย่างเต็มที่ต่อไปเพื่อให้ประสบความสำเร็จในภารกิจที่ท่านตั้งใจเพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนยิ่งขึ้นไป
"ต้องขอขอบคุณและขอเป็นกำลังใจให้กับภาครัฐที่เข้าใจและทุ่มเท ช่วยเหลือที่ได้ดำเนินการแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาดำเนินการในลำดับต่อไป เช่น การลดค่าไฟฟ้าจะเป็นเรื่องสำคัญคาดหวังว่าจะยิ่งมีส่วนช่วยทำให้ภาคอุตสาหกรรมทั้งหมด โดยอุตสาหกรรมเหล็กซึ่งเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศและสนับสนุนอุตสาหกรรมการก่อสร้างและการผลิตของประเทศไทยให้อยู่รอดและทำหน้าที่ของแต่ละอุตสาหกรรมเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานของประเทศต่อไป" นายบัณฑูรย์ กล่าว