'เอกนัฏ' ระทึกทุนสีเทาตั้งค่าหัว 300 ล้าน ย้ายพ้นเก้าอี้ รมว.อุตสาหกรรม

"เอกนัฏ พร้อมพันธุ์" ระทึก! โดนทุนสีเทาตั้งค่าหัวสูงถึง 300 ล้าน หวังย้ายพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านรายการ "เจาะลึกทั่วไทย Insid Thailand" วันนี้ (24 ม.ค.2568) ว่า จากกระแสข่าวลือหนาหูว่าขณะนี้มีทุนสีเทาที่นำเข้าสินค้าและเครื่องจักรไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศได้ข่มขู่ข้าราชการเสนอเงินหลัก 200-300 ล้านบาท เพื่อให้เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกต่างๆ นั้น
นายเอกนัฏ กล่าวยืนยันว่าปัจจุบันมีสินค้าที่ทำลายต้นน้ำบ้านเรา ซึ่งเราต้องดูว่าบางประเทศผลิตที่โอเวอร์ซัพพลาย และนำเข้ามาทั้งสินค้าและเครื่องจักรผลิตสินค้ามาทั้งยวง อีกทั้งยังมีหุ้น 100% เป็นต่างชาติ รวมถึงไม่จ่างคนไทย และไม่จ่ายภาษีด้วย โดยมีเม็ดเงินลงทุนเป็นหลักหมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับข่าวที่ลือเป็นการลือกันหนักมาก ขอให้ถามกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กได้เลย เพราะหลังจากที่ตนเองได้สั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการตรวจเข้มงวดโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน กลุ่มทุนสีเทาได้มีการวิ่งเต้นให้เจ้าหน้าที่มีการไตร่ตรอง เมื่อเจ้าหน้าที่ยืนยันว่ารมต.อุตสาหกรรมสั่งเข้มงวดก็ได้มีการขู่ว่าจะทุ่มเงินหลัก 200-300 ล้านบาท เพื่อเอารมต.อุตสาหกรรมออกจากตแหน่ง
"ผมคิดว่าทำไม่ได้เพราะไม่ได้ตั้งตนมานั่งรมต. คนแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี"
นอกจากนี้ยืนยันว่าไม่มีโรงงานน้ำตาลร่วมลงขันด้วยแน่นอน อยากบอกว่าตนทำทุกอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งกลุ่มโรงงานที่มาหารือค่อนข้างโอเค โดยที่ผ่านมาเขาหารือเกษตรกรแล้วว่าให้ตัดอ้อยสด เพราะรัฐบาลได้เข้มงวดหากส่งอ้อยเผาเกินเกณฑ์จะถูกปิดโรงงาน และพบว่ายอดรับอ้อยเผาต่อวันเหลอ 11% จากตั้งเกณฑ์ 25% โดยสถิติปีที่ผ่านมาอ้อยเผาที่ 30% จึงตั้งเกณฑ์ปีนี้ไม่เกิน 25% ดังนั้น หากปีนี้อ้อยเผาต่ำกว่า 15% จะเท่ากับการลดอ้อยเผาได้ 15 ล้านตัน เปรียบเทียบการเผาป้า 1.5 ล้านไร่
ส่วนการตั้งคำถามเลือกปฎิบัติหรือไม่ บางโรงงานที่ยังรับอ้อยสูงกว่าบริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด นั้นยืนยันว่าให้ดูที่ตัวเลขว่าตัวเลขอะไร เราออกมาตรการงดตัดอ้อยเผาช่วงปีใหม่ 2568 เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และหลังปีใหม่มีบางเจ้าอั้นมากเมื่อมาดูวันที่ 10 ม.ค. 2568 มี 6 โรงงานที่รับอ้อยเผาเกิน 25% ก็สื่อสารไปขอให้ลด ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากทั้ง 6 และเหลือเพียงไทยอุดรฯ ที่ยังไม่ลด และหากดูปริมาณการรับอ้อยเผาตั้งแต่ต้นฤดูการณ์วันนั้นถือว่าสูงสุด
"ในไทยมี 58 โรงงาน ยืนยันว่าไม่สนใจว่าใครเป็นผู้บริหาร เมื่อเปิดตัวเลขมาดูอย่างละเอียด และสื่อสารกับรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ให้เข้มงวด สั่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ออกมาตรการงดรับซื้ออ้อยเผา"
ส่วนชาวไร่อ้อยออกมาบอกจะให้เงิน 120 บาทนั้น ตั้งแต่ฤดูอ้อยปี 2566/2567 ยังไม่ได้เงินจึงไม่เชื่อรัฐแล้ว นายเอกณัฎ กล่าวว่า ยืนยันว่าตรงนี้คนละเรื่อง ที่พูดคือความเข้มงวด อีกเรื่องคือแรงจูงใจ ซึ่งการให้เงิน 120 บาทสิ้นสุดไปแล้วใน 3 ปี ที่ให้เงินอ้อยสดรวมเกือบ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เว่นช่วงปี 2566/2567 และไม่ได้เสนอเข้าครม. ซึ่งตนมาก็ปรับรูปแบบใหม่ สนับสนุนให้เอาใบอ้อยไปส่งโรงงานด้วย สนับสนุนโรงไฟฟ้าโดยส่งเข้าครม.ไปตั้งแต่ พ.ย.2567 แล้ว
"ตอนเสนอขบวนการเสนอไม่ใช่เสนอแล้วบรรจุได้ทันที เข้าใจว่าอยู่ในกระบวนการ อาจจะต้องดูรายละเอียด อันนี้เป็นมาตรการใหม่ เพราะเดิม สตง.ค้าน ความตั้งใจลดอ้อยเผาซึ่งสมัยก่อนถือว่าสัดส่วนเกิน 50% พอมาตรการ 120 บาท คนบอกเพราะช่วยราคาน้ำตาลแต่เมื่อให่เงินก็ไม่ลง ปีที่แล้วยังอยู่ที่ 30% ซึ่งปีนี้ต่อวันเหลือ 11% ส่วนสัดส่วนสะสมเหลือ 17%"
นายเอกนัฎ ยืนยันว่า ตนไม่ชอบแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ได้โทรคุยกับเกษตรกรที่มีปัญหาการนำอ้อยเข้าโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานีแล้ว และเคลียร์หมดไปแล้ว ยินยันว่าไม่อยากทำแบบนี้ ดังนั้น ปีหน้าต้องแก้ต้นเหตุและจัดระเบียบใหม่ จึงได้หารือกับกระทรวงพลังงาน ทั้งการสนับสนุนการรับซื้อค่าไฟราคาที่รับได้ เพื่อสร้างรายได้ให้โรงงานเพื่อจะได้แบ่งรายได้ให้เกษตรกรทุกปี รวมถึงออกแบบสนับสนุนอุปกรณ์เพื่อแก้เป็นระบบ