“ดูไบ เวิลด์”หนุนไทยชิงบทฮับโลจิสติกส์ ชี้ช่วยลดเสี่ยงผลการค้าที่แตกแยก

บริษัท Dubai Port World(DP World) ยักษ์ใหญ่ด้านโลจิสติกส์ของโลก ที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเป้าหมายการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง ง่ายในจุดเดียว พนักงานกว่า 1 แสนคน จาก 150 สัญชาติ เป็นกลไกสำคัญที่จะส่งให้เป้าหมายการทำงานของบริษัทเดินหน้าไปอย่างดีไม่ติดขัด
เมื่อเร็วๆนี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือกับ สุลต่าน อะห์เหม็ด บิน สุลาเย็ม ประธานกลุ่มบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท DP World (UAE) ณ DP World House เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างการประชุม
World Economic Forum (WEF)
“ยินดีที่บริษัท DP World เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทย และมีความพร้อมในการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง เพราะตั้งอยู่ในจุดที่ได้เปรียบพร้อมใช้ประโยชน์จากที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์” นายกรัฐมนตรีไทยแสดงความเห็น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาทิ
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ Landbridge, โครงการรถไฟทางคู่ และโครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น เพื่อผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
ด้านสุลต่าน อะห์เหม็ด แสดงความเห็นว่าบริษัทฯพร้อมสนับสนุนไทยในการพัฒนาสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ลาดกระบัง ให้เป็น ศูนย์โลจิสติกส์ระดับภูมิภาคแบบหลายรูปแบบ (Multi-modal) สำหรับการค้าข้ามพรมแดนระหว่างจีน อินโดจีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ผ่านการเชื่อมโยงเครือข่ายทางรถไฟ รวมทั้งโครงการท่าเทียบเรือชุด B ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับเรือและตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ รองรับการขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก
นอกจากนี้ DP World พร้อมจะเดินหน้าศึกษาการลงทุนโครงการ Land Bridge เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งของภูมิภาคอาเซียนและเชื่อมโยงไปมหาสมุทรอินเดียและกลุ่มประเทศความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล หรือ BIMSTEC
ในโอกาสการประชุม WEF ได้มีการนำเสนองานวิจัย Trade in Transition 2025เผยแพร่โดย Economist Impact และ DP World สาระสำคัญระบุว่า ธุรกิจทั่วโลกสามในสี่กำลังเผชิญกับการปฏิรูป(ยกเครื่อง)ห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการลดขนาดซัพพลายเชนลงเพื่อลดผลกระทบความเสี่ยงต่างๆทางการค้าที่กำลังเพิ่มท่ามกลางความสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความแตกแยก
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์นี้ ซึ่งขับเคลื่อนอยู่บนความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ มีแนวโน้มจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ตามนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลชุดใหม่ในสหรัฐ
ผลการศึกษาซึ่งดำเนินการมาประจำปีเป็นครั้งที่ 5 แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่การค้ากำลังเปลี่ยนผ่าน นั้น ได้ทำการสำรวจผู้บริหารที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลกมากกว่า 3,500 คนทั่วโลก ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ถูกบังคับให้ปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับการกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นและพันธมิตรทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป
“ประเทศต่างๆ ที่ถูกมองว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เช่น เวียดนาม เม็กซิโก อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือบราซิล กำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ผู้บริหารจำนวนมากถึง 71% เห็นด้วยว่าประเทศเหล่านี้สามารถลดความเสี่ยงด้านการค้าได้ ในขณะที่ 69% มองว่าประเทศเหล่านี้มีความสำคัญต่อการแก้ไขช่องว่างที่เกิดจากความขัดแย้งระดับโลก”
บริษัทต่างๆ ประมาณ 40% เร่งการค้าในตลาดสหรัฐ และอีก 32% กำลังนำห่วงโซ่อุปทานแบบคู่( dual supply chains)
มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นการย้ายห่วงโซ่อุปทานไปยังประเทศที่มีแนวคิดทางการเมืองเดียวกันนั้นถือเป็นการเติมเต็มกลยุทธ์เหล่านี้
โดยธุรกิจประมาณ 34% ใช้แนวทางนี้เพื่อรับมือกับความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจระดับโลก ความท้าทายทางเศรษฐกิจก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้นๆอยู่ โดยผู้บริหาร 33% ระบุว่าเงินเฟ้อที่ยาวนานและอัตราดอกเบี้ยที่สูงเป็นปัญหาหลัก การใช้ประโยชน์จากศูนย์กลางที่เป็นกลาง การกระจายความหลากหลายของซัพพลายเออร์ และการนำเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ หรือAI มาใช้ ทำให้ธุรกิจต่างๆ อยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในขับเคลื่อนไปข้างหน้าในยุคที่เศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความซับซ้อนมากขึ้น
สุลต่าน อะห์เหม็ด ยังได้กล่าวในการเปิดตัวผลการศึกษา นี้ ว่า การค้าโลกในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากกว่าที่เคย จึงต้องอาศัยความคล่องตัว ความยืดหยุ่น และนวัตกรรม
“ที่ DP World มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือด้วยนวัตกรรม ความยื่นหยุ่นเพื่อทำให้นิเวศซัพพลายเชนของโลก สามารถส่งพลังให้ภาคธุรกิจได้ยกระดับและเติบโตได้ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วขึ้น"
จอห์น เฟอร์กูสัน หัวหน้าฝ่ายโลกาภิวัตน์ใหม่ Economist Impact กล่าวเสริมว่า ในปี 2025 และในอนาคตอันใกล้ การค้าโลกจะถูกกำหนดโดยสามแรงผลักดัน ได้แก่ ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคลื่นลูกใหม่ของ AI และระบบอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจต่างๆ ไม่ได้ถอยห่างจากการค้าระหว่างประเทศ แต่กำลังก้าวขึ้นมาเผชิญกับความท้าทาย บริษัทที่คล่องตัวและบริการต้นทุนได้ดีจะมีข้อได้เปรียบ เช่นเดียวกับบริษัทที่ผสมผสานการจัดการความเสี่ยงเข้ากับการทดลองใช้ AI และมีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดและเป็นผู้ชนะโลกาภิวัตน์ใหม่นี้