ก.พ.ร. ปรับใหม่ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการฯ เปิดทาง ตั้ง-ยุบ กระทรวงง่ายขึ้น

"ก.พ.ร." ปรับปรุงร่าง พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดิน ผ่อนเกณฑ์ตั้ง - ยุบ กระทรวง- กรม ได้ง่ายขึ้น สนับสนุนภารกิจฝ่ายบริหารให้สอดคล้องกับภารกิจใหม่ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน พร้อมดันบทบาทภาครัฐให้ทำแซนด์บ็อกซ์ในบางเรื่องสอดคล้องหลักการรัฐบาลทันสมัย
การบริหารงานในยุคปัจจุบันต้องการความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนให้ทันกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนและมีความท้าทายสูงใน การบริหารงานราชการ ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นที่ต้องมีกลไกที่สามารถปรับเปลี่ยนได้รวดเร็ว รวมทั้งการจัดตั้งหรือยกเลิหน่วยงานระดับ “กระทรวง” และ “กรม” ในอนาคตต้องสามารถทำได้รวดเร็วขึ้นเพื่อรองรับภารกิจของภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ต่างๆที่มีความไม่แน่นอนสูง
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เปิดเผยว่า ก.พ.ร.อยู่ระหว่างการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. โดยจะเป็นการปรับปรุงรายละเอียดเนื้อหาของกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับปรุงการจัดตั้ง หรือยุบเลิก กระทรวงและกรมต่าง ๆ ให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาการดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ขึ้นมา แต่ต่อไปจะเปลี่ยนเป็นการตราพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) แทนได้ โดยใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในการดำเนินการแทนเหมือนในต่างประเทศ
“ฝ่ายบริหารนั้นมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจว่าภารกิจต่างๆที่มีจะต้องมีการตั้งหน่วยงานในระดับกรม และกระทรวงขึ้นมาทำงานหรือไม่ ซึ่งการตั้งง่ายก็หมายความว่าในการยุบหน่วยงานเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็จะสามารถยุบหน่วยงานนั้นๆได้ง่ายเช่นกัน”
ขณะเดียวกัน ก.พ.ร.ยังเตรียมจัดการทำงานของส่วนราชการในระดับภูมิภาคให้เล็กลง และมีความสะดวกมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีการทำงานราชการในระดับภูมิภาคซ้อนทับกันหลายหน่วยงาน รวมทั้งอาจพิจารณาเรื่องอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารให้สอดคล้องกับปัจจุบัน และอาจรวมไปถึงกรณีการพิจารณาปรับปรุงรายละเอียดเกี่ยวกับตำแหน่งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เกิดความชัดเจนขึ้นด้วย
สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.อีกฉบับที่อยู่ระหว่างการจัดทำคือการยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย มีเป้าหมายพัฒนาระบบราชการให้มีความทันสมัยเป็นราชการแห่งอนาคต (Future Government) โดยปรับให้การบริหารงานภาครัฐเกิดความคล่องตัวมากขึ้น สามารถทำแซนด์บ็อกซ์ เพื่อทดสอบหรือทดลองการทำงานราชการต่าง ๆ แบบนอกกรอบได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อทำแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จ และจะส่งผลกระทบต่องบประมาณ
“การทำแซนด์บ็อกซ์ มีตัวอย่างเช่น เมื่อข้าราชการคิดทำนวัตกรรมอะไรแบบนอกกรอบขึ้นมา ก็สามารถนำเงินงบประมาณลงไปทดลองได้ แต่การทำนวัตกรรมต่าง ๆ จะต้องมีเจรนาสุจริต และนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของราชการ หากทำแล้วพลาดก็ไม่ต้องมีความผิด ซึ่งกฎหมายนี้จะเปิดช่องให้ข้าราชการ และหน่วยงานต่าง ๆ สามารถทำได้”
ขณะเดียวกันกฎหมายยกระดับการบริหารงานภาครัฐ ฉบับนี้ จะเปิดช่องให้เกิดการดำเนินงานแบบ “รัฐเครือข่าย” คือสามารถดึงการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 หรือการอุดหนุนดูแลสวัสดิการประชาชน ซึ่งจำเป็นต้องใช้กลไกความร่วมมือของทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมมือกัน และกำหนดตัวชี้วัดร่วมกันให้เกิดความสำเร็จต่อไป