ราคาน้ำมันดิบไหลลงต่อ นักลงทุนกังวลนโยบายทรัมป์

ราคาน้ำมันดิบลดลงต่อในวันพุธ ขณะที่ตลาดกำลังประเมินว่ามาตรการขึ้นภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เสนอนั้น จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกและความต้องการพลังงานอย่างไร
รอยเตอร์ส รายงานภาวะตลาดน้ำมันดิบโลกวันพุธ (22 ม.ค.)ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่วงหน้าลดลง 29 เซ็นต์ หรือ 0.37% ปิดที่ 79 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส อินเตอร์มีเดียตของสหรัฐ (WTI) ลดลง 39 เซ็นต์ หรือ 0.51% ปิดที่ 75.44 ดอลลาร์
การลดลงดังกล่าว ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบรนท์ลดลงเป็นวันที่ห้าติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายน และราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงเป็นวันที่สี่ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันดิบในตลาดทั้งสองกำลังเข้าสู่การปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม
“ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการคว่ำบาตรใด ๆ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ชุดใหม่หรือไม่ โดยอาจจะมีการเก็บภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งดูเหมือนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำเกิดความไม่แน่นอนในตลาดของผู้ค้าน้ำมัน” นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงาน Ritterbusch and Associates กล่าวในบันทึก
ทรัมป์กล่าวว่ารัฐบาลของเขากำลังหารือเกี่ยวกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเม็กซิโกและแคนาดาอาจต้องเผชิญกับการเรียกเก็บภาษีนำเข้าประมาณ 25%
เขายังให้คำมั่นที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรป โดยไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมและภาษีศุลกากรใหม่ต่อรัสเซีย หากประเทศดังกล่าวไม่ทำข้อตกลงยุติสงครามในยูเครน
“ตลาดน้ำมันเริ่มหันเหความสนใจจากการคว่ำบาตรรัสเซียของสหรัฐ มาสนใจนโยบายการค้าที่อาจเกิดขึ้นของประธานาธิบดีทรัมป์” นักวิเคราะห์ของธนาคาร ING กล่าว และเสริมว่ากลุ่มพลังงานกำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีศุลกากร
ในยุโรป ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ แห่งเยอรมนี พยายามแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันในระหว่างการประชุมที่กรุงปารีส ขณะที่ยุโรปกำลังสร้างความเป็นหนึ่งเดียวเพื่อตอบโต้ต่อภัยคุกคามจากสหรัฐที่จะขึ้นภาษี
ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังกล่าวอีกว่ารัฐบาลของเขา “อาจจะ” หยุดซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรร่วมประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก (โอเปก) ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ
สหรัฐนำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลาประมาณ 200,000 บาร์เรลต่อวัน (bpd) ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 100,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2023 ตามข้อมูลล่าสุดจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA)
อิหร่าน ซึ่งเป็นอีกสมาชิกโอเปกที่ตกอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ ได้แสดงท่าทีปรองดองต่อผู้นำชาติตะวันตกที่เมืองดาวอสเมื่อวันพุธ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า อิหร่านต้องการอาวุธนิวเคลียร์ และเขาได้เสนอให้มีการเจรจากันกับตะวันตก
ข่าวอื่นๆ ของโอเปก ได้แก่ ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบียในเดือนพฤศจิกายนพุ่งสูงสุดในรอบ 8 เดือน
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐ จะลดลงประมาณ 1.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่จะมีการเปิดเผยข้อมูลของกลุ่มการค้าสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) ในวันพุธ และสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐในวันพฤหัสบดี
รายงานประจำสัปดาห์ทั้งสองฉบับล่าช้าไปหนึ่งวันเนื่องจากวันจันทร์เป็นวันหยุดวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ของสหรัฐ
หากการคาดการณ์เป็นจริง ก็จะเป็นครั้งแรกที่บริษัทพลังงานดึงน้ำมันออกจากคลังเป็นเวลา 9 สัปดาห์ติดต่อกัน นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2018 ซึ่งพวกเขาดึงน้ำมันออกจากคลังเป็นเวลา 10 สัปดาห์ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด เมื่อเทียบกับการลดลง 9.2 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์เดียวกันของปีที่แล้ว และการลดลงโดยเฉลี่ย 800,000 บาร์เรลในช่วงห้าปีที่ผ่านมา (2020-2024)
นอกจากนี้ ท่าเรือหลายแห่งในรัฐเท็กซัสเริ่มกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันพุธ หลังจากพายุฤดูหนาวเอนโซทำให้การดำเนินงานด้านพลังงานและการขนส่งต้องหยุดชะงักเมื่อต้นสัปดาห์นี้