‘สุริยะ’ นำทีมลงนามท่าเรือโยโกฮามา ยกเป็นโมเดลปั้น ‘ท่าเรือคลองเตย’

“สุริยะ” นำการท่าเรือฯ ลงนาม LOI ร่วมกับเมืองโยโกฮามา ยกเป็นต้นแบบทำมาสเตอร์แพลนพัฒนา “ท่าเรือกรุงเทพ” รองรับการขนส่งสินค้าด้วยนวัตกรรม ควบคู่การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ปั้น Bangkok Port Passenger Cruise Terminal บนพื้นที่ 67.41 ไร่
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นำการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ร่วมลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างการท่าเรือฯ และเมืองโยโกฮามา และประชุมร่วมกับบริษัท Yokohama-Cargo-Center (YCC) พร้อมด้วยนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือฯ คณะกรรมการการท่าเรือฯ นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ และผู้บริหารการท่าเรือฯ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมฯ ณ ประเทศญี่ปุ่น
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent : LOI) ฉบับใหม่ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านการพัฒนากิจการท่าเรือ โครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่หลังท่า ส่งเสริมการตลาด เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมพร้อมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ชุมชนของทั้งสองท่าเรือ เพื่อก้าวเป็นท่าเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมความร่วมมือเชิงวิชาการระหว่างกัน
โดยเมืองโยโกฮามาจะสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมการศึกษาโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพและการใช้ประโยชน์พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญ (Flagship Project) ตามนโยบายของกระทรวงคมนาคม และจะสนับสนุนความช่วยเหลือเชิงวิชาการในด้านการพัฒนาท่าเรือสีเขียว มุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อม พัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และการตลาดเชิงรุก โดยกระทรวงฯ มอบหมายให้ กทท.ต่อยอดความร่วมมือและนำความสำเร็จของท่าเรือโยโกฮามาเป็นต้นแบบจัดทำแผนแม่บทพัฒนาท่าเรือกรุงเทพให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคมในฐานะประธานกรรมการการท่าเรือฯ กล่าวต่อว่า การเดินทางเยือนโยโกฮามาในครั้งนี้ เป็นการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 10 ปี ระหว่างการท่าเรือฯ และเมืองโยโกฮามา แสดงถึงมิตรภาพและความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องและมั่นคงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2557
อีกทั้ง ท่าเรือโยโกฮามายังมีการพัฒนาท่าเรือที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล มุ่งเน้นการยกระดับการให้บริการท่าเรือที่ประสิทธิภาพปลอดภัย รวดเร็ว และแม่นยำ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือเพื่อรองรับเรือขนาดใหญ่ พัฒนาพื้นที่หลังท่า พื้นที่เชิงพาณิชย์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการบูรณาการที่เชื่อมโยงระบบการขนส่ง เพื่อลดปัญหาการจราจร และลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์
ทั้งยังมีการพัฒนาโครงการ Minato Mirai 21 ซึ่งเป็นพื้นที่ริมน้ำสำหรับชุมชนและเป็นจุดชมวิวที่สำคัญ ที่สามารถสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่รวมถึงการสร้างงานให้กับชุมชน นอกจากนี้ ท่าเรือโยโกฮามายังให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมการขนส่งทางทะเลอย่างยั่งยืน โดยการประกาศนโยบาย Net Zero Carbon ภายในปี 2593 ซึ่งสนับสนุนการใช้เรือลากจูงพลังงานแอมโมเนีย และให้สิทธิพิเศษกับรถบรรทุกและเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นต้นแบบในการพัฒนาเพิ่มศักยภาพและยกระดับมาตรฐานของการท่าเรือฯ ต่อไป
ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายหลังพิธีลงนามฯ และการหารือในครั้งนี้ ทราบว่าการพัฒนาในด้านต่างๆ ของท่าเรือโยโกฮามา มีแนวทางการพัฒนาและกำหนดนโยบายเช่นเดียวกับกระทรวงคมนาคมที่มุ่งเน้นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านจราจร ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวสู่ Smart & Green Port รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งการเดินทางมาศึกษาดูงานในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับการท่าเรือฯ ในการแลกเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาท่าเรือและสามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนาท่าเรือ รวมทั้งต่อยอดในโครงการต่างๆ ในหลายประเด็น อาทิ
1.การพัฒนาท่าเรือให้เป็นเมืองท่าและศูนย์กระจายสินค้า การพัฒนาศูนย์โลจิสติกส์ของท่าเรือโยโกฮามาสามารถเป็นหนึ่งในต้นแบบสำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพ ประกอบด้วย 3 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้า พัฒนาอาคารสำนักงาน และพัฒนาพื้นที่สนับสนุนท่าเรือกรุงเทพ (Bangkok Logistics Park) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้ถึง 1.41 พันล้านบาท หรือประมาณ 0.01% ของ GDP ผลักดันเป้าหมายของรัฐบาลในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในภูมิภาค
2.การพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่หลังท่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยการพัฒนาพื้นที่หลังท่าของเมืองโยโกฮามา ถือเป็นแนวทางในการต่อยอดโครงการพัฒนาทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) เพื่อเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพกับทางพิเศษ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า ลดปัญหาจราจรติดขัดรอบพื้นที่ท่าเรือ รองรับการขยายตัวของโครงการ Smart Community และ Smart City
3. การพัฒนาระบบการให้บริการโลจิสติกส์เพื่อลดปัญหาการจราจร โดยพัฒนาพื้นที่จุดพักรถบรรทุก (Truck Parking) ควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการจราจร (Truck Q) เพื่อลดปัญหาการจราจรทั้งภายในและภายนอกท่าเรือ โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น อาทิ ร้านอาหาร ฯลฯ สำหรับรถบรรทุกที่เข้ามารอเวลารับ-ส่งสินค้าจากสายเรือ
4. การพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว การบริหารจัดการและพัฒนาท่าเรือท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ โดยพัฒนาโครงการ Bangkok Port Passenger Cruise Terminal บนพื้นที่ 67.41 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งและการท่องเที่ยวทางน้ำ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและส่งเสริมเศรษฐกิจในระยะยาว
สำหรับประเทศญี่ปุ่นนับเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทย (อันดับที่ 3) โดยมีเมืองโยโกฮามาเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่และมีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากโตเกียว และมีท่าเรือโยโกฮามาที่เป็นท่าเรือสำคัญ เป็นท่าเรือที่มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าสูงเป็นอันดับ 2 ของประเทศญี่ปุ่น หรืออันดับที่ 68 ของโลก รองจากท่าเรือโตเกียว (อันดับที่ 46 ของโลก) โดยในปี 2566 มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 3.02 ล้าน ทีอียู เพิ่มขึ้น 1.68% จากปีก่อนหน้า
นอกจากนี้ ท่าเรือโยโกฮามาเป็นท่าเรือท่องเที่ยวอันดับที่ 1 ของประเทศญี่ปุ่น โดยในปี 2566 รองรับเรือท่องเที่ยว จำนวน 171 ลำ และผู้โดยสาร จำนวน 467,536 คน โดยท่าเรือโยโกฮามาสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจคิดเป็น 30% ของรายได้ทั้งหมดของเมืองโยโกฮามา







