PM2.5 เพิ่มปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจ ‘เอกชน’ กระทุ้งแก้ให้ตรงจุดยั่งยืน

“ส.อ.ท.-หอการค้า” ชี้ PM2.5 เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจ แนะแก้ให้ตรงจุดอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ชูนโยบายรณรงค์สร้างแรงจูงใจออกกฎระเบียบ-ลงโทษให้ชัดเจน และให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาภัยธรรมชาติอย่างรวดเร็ว หากทุกอย่างต้องชะงักลงการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ยากขึ้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ปัญหาค่าฝุ่น PM2.5 ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งสูงขึ้นในหลายพื้นที่ สร้างความน่ากังวลต่อสุขภาพของประชาชนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในระบบทางเดินหายใจกับบุคคลที่ต้องออกมาข้างนอกซึ่งได้รับผลกระทบ
ทั้งนี้ ส.อ.ท.กังวลและได้แก้ไขในทุกปี แม้จะแก้ปัญหาที่อาจจะยังไม่ตรงจุด ซึ่งปัญหา PM 2.5 หลักของไทยมี 4 ส่วน คือ
1. ภาคการเกษตร โดยเฉพาะการเผาวัชพืชในฤดูเกี่ยวเกี่ยวทางการเกษตร ซึ่งปัญหากระจายไปประเทศอื่นด้วย และบริษัทไทยได้ลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งทำเกษตรพันธสัญญา (คอนแทรคฟาร์มมิ่ง) บางส่วนก็ควบคุมไม่ได้และรุนแรงขึ้น รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้อากาศไม่ค่อยไหลเวียนเหมือนเดิม
2. ภาคคมนาคมและการขนส่ง
3. ภาคการก่อสร้าง
4. ภาคอุตสาหกรรม
“สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาที่ต้นตอ เช่น การเผาวัชพืช ภาครัฐต้องมีมาตรการที่เอาจริงเอาจังอาจจะมีบทลงโทษ เป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้วแต่ต้องเข้มข้นขึ้น”
ส่วนพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีปัญหาหลักจากภาคคมนาคมและการขนส่ง โดยเฉพาะการตรวจสภาพรถบรรทุกและรถ โดยสารสาธารณะที่ปล่อยควันดำและใช้เครื่องยนต์ที่ขาดมาตรการควบคุมให้ได้มาตรฐาน และต้องมีบทลงโทษจริงจัง ขณะที่สาเหตุจากโรงงานสัดส่วนไม่สูงในเขตกรุงเทพมหานคร
ผนึก กทม.แก้ปัญหาเป็นระบบ-ยั่งยืน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้แก้ปัญหา PM2.5 ต่อเนื่องร่วมกับกรุงเทพมหานครทุกปี แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง และหากจะให้ยั่งยืนต้องบูรณาการแก้ไขอย่างเป็นระบบ โดยเรียนรู้จากต่างประเทศมาปรับปรุงให้เหมาะสมกับไทย ด้วยการจัดเปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรองรถยนต์ในราคาพิเศษ
ล่าสุด ส.อ.ท.จะประกาศความร่วมมือใหญ่ FTI Expo 2025 ระหว่างวันที่ 12-15 ก.พ.2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กับกรุงเทพมหานคร เพื่อแก้ไขเป็นระบบ จากนโยบาย 4 Go ของ ส.อ.ท.โดยยก Go Green ที่ต้องแก้ PM2.5 ทำควบคู่การดูแลสิ่งแวดล้อมด้วยเทคโนโลยี
“ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ การท่องเที่ยว ซึ่งฝุ่นที่มากขึ้นทำให้เป็นอุปสรรค หลายคนหนีไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะบางคนแพ้อากาศจึงห้ามไม่ได้ ส่วนภาคอุตสาหกรรมถือว่าเป็นสัดส่วนน้อยเพราะเปลี่ยนเทคโนโลยีที่สะอาดปล่อยของเสียน้อยมาก ดั้งนั้้นจึงควรแก้ที่ต้นตอและให้ตรงจุดเป็นระบบและยั่งยืน” นายเกรียงไกร กล่าว
“หอการค้า”ชี้กระทบเศรษฐกิจภาพรวม
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สิ่งแรกต้องคำนึง PM2.5 ด้านสุขภาพประชาชน ซึ่งภาครัฐแก้ปัญหาระยะสั้นด้วยการให้ Work From Home โดยไทยเคยผ่านโควิด-19 มาแล้วจึงให้ความร่วมมือแบบไม่บังคับ แต่มีส่งผลทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะที่ในช่วงนี้อยู่ในช่วงที่อากาศเย็น ถือว่าส่งผลให้การท่องเที่ยวที่กำลังคึกคักที่ควจจะบูมมากขึ้นอาจชะลอลง คนในประเทศเองที่บอกว่าเที่ยวด้วยอากาศเย็นแบบนี้จะมีความสุขมากๆ ก็อาจจะหนีไปเที่ยวอากาศเย็นประเทศอื่นถือเป็นเรื่องน่าเสียดาย
ดังนั้น การแก้ระยะยาวไม่สามารถแก้ได้ด้วยเอกชนอย่างเดียว หรือประเทศไทยอย่างเดียว เพราะเป็นเรื่องของอาเซียน โดยต้องดูรายเซ็คเตอร์ รวมถึงการรณรงค์ที่จะเห็นได้ว่าโซนภาคเหนือปี 2568 ดีกว่าปีที่ผ่านมามาก จึงต้องรณรงค์ต่อไปและเข้มข้นขึ้น
“เรื่องของฝุ่นที่เห็นชัดๆ ทั้งโลกคือภัยธรรมชาติ อย่างไฟไหม้ป่า ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องจริงจัง เช่น สหรัฐเป็นตัวอย่าง งบประมาณที่ต้องดูแลต้องมีมากพอสมควร หรือวิธีการใดที่จะระงับเหตุได้ดีที่สุด เพราะว่าเมื่อป่าถูกเผาจะหนักกว่าที่เราพยายามคุม ดังนั้น สิ่งสำคัญคือการของความร่วมมือโดยการโปรโมทและรณรงค์แบบเอาจริงเอาจัง รวมถึงงบประมาณภาครัฐที่จะสนับสนุนด้วย”