'คลัง' คลอด พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน ดึงลงทุน 8 ธุรกิจ ดันไทยฮับการเงินภูมิภาค

'คลัง' คลอด พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน ดึงลงทุน 8 ธุรกิจ ดันไทยฮับการเงินภูมิภาค

"คลัง" เดินหน้าสร้างไทยเป็นศูนย์กลางการเงินอาเซียน เตรียมส่งร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการเงิน เข้า ครม. ในเดือนก.พ.นี้ หวังดึงลงทุน 8 ธุรกิจ เชื่อมโยง CLMV ตั้งซูเปอร์บอร์ด 8 คน มีรมว.คลัง เป็นประธาน และศูนย์ One Stop Service ออกใบอนุญาตครบวงจร

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (Financial Hub) และเป็นผู้เล่นสำคัญในเวทีโลก เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 

ทั้งนี้ รัฐบาลจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน โดยมีตนเป็นประธาน ปัจจุบันได้ยกร่าง “พ.ร.บ. ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....” เป็นกฎหมายชุดใหม่ 96 มาตราและเปิดรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อย่างช้า ต้นเดือน ก.พ. 68

โดยร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... มีหลักการสำคัญ ดังนี้

1.ธุรกิจเป้าหมาย

ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท ได้แก่

1.ธุรกิจธนาคารพาณิชย์

2.ธุรกิจบริการการชำระเงิน

3.ธุรกิจหลักทรัพย์

4.ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

5.ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล

6.ธุรกิจประกันภัย

7.ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ

8.ธุรกิจทางการเงินหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนธุรกิจทางการเงินตามที่คณะกรรมการฯ ประกาศกำหนด ให้เข้ามาลงทุนและตั้งบริษัทในไทย 

โดยจะต้องตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดและต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด และสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น 

ทั้งนี้ จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้

(1) ด้านประกันภัย สามารถทำประกันภัยต่อกับบริษัทประกันภัยในไทยเพื่อโอนความเสี่ยงได้
(2) ด้านตลาดทุน สามารถให้บริการร่วมกับผู้ประกอบการไทย (Co-services) ในการพาลูกค้าไปลงทุนต่างประเทศได้
(3) ด้านสถาบันการเงิน สามารถทำ Interbank กับสถาบันการเงินไทยเพื่อบริหารความเสี่ยงได้ 
(4) ด้านธุรกิจบริการการชำระเงิน สามารถเชื่อมระบบกับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของไทยได้
(5) ด้านธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน ผู้ประกอบธุรกิจมีสถานะเป็น Non-resident ที่ประกอบธุรกิจทางการเงิน โดยต้องปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมแลกเปลี่ยนเงิน และมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท

2.สิทธิประโยชน์ 

ผู้ประกอบธุรกิจเป้าหมายภายใต้ Financial Hub จะได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและมิใช่ภาษีตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องแข่งขันได้ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี เช่น การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของบุคคลต่างด้าว สิทธิประโยชน์ในการนำคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทย การให้กรรมสิทธิในการถือครองห้องชุดเพื่อการประกอบธุรกิจและอยู่อาศัย เป็นต้น 

3.การอนุญาตและกำกับดูแล

จะมีการตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (One Stop Authority: สำนักงาน OSA) ขึ้นเป็นหน่วยงานของรัฐเพื่อให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็น Financial Hub และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินเข้ามาลงทุน

อีกทั้ง มีคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน เป็นซูเปอร์บอร์ด 8 คน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน และมีคณะกรรมการ ได้แก่ ปลัดกระทรวงการคลัง, ปลัดกระทรวงมหาดไทย, ผู้ว่ากสนธนาคารแก่งประเทศไทย (ธปท.),เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา, เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

โดยจะทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย กำหนดแนวทางการส่งเสริม กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาต หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขการขออนุญาต และการอนุญาต การเพิกถอน และการกำกับดูแล โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดหรือมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ที่เป็นมาตรฐานสากล

"ทั้งนี้ ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินไทยที่พัฒนามากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ซึ่งการพัฒนาไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคจะดึงดูดธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย เชื่อมโยงระบบการเงินใน CLMV ทำให้แรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในไทยมากขึ้น"

นอกจากนี้ ยังจะทำให้เกิดการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในไทย เกิดการจ้างงานในประเทศ เกิดการถ่ายทอดทักษะและเทคโนโลยีแก่แรงงานไทย รัฐบาลจึงมีนโยบายที่ชัดเจนที่จะผลักดันให้ Financial Hub เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อย่างช้า ต้นเดือน ก.พ. 68