‘ไทย’ ผวาตั้งรับ ‘ทรัมป์’ ป่วนเศรษฐกิจโลก แนะผนึกพันธมิตรเพิ่มอำนาจต่อรอง

‘ไทย’ ผวาตั้งรับ ‘ทรัมป์’ ป่วนเศรษฐกิจโลก แนะผนึกพันธมิตรเพิ่มอำนาจต่อรอง

“ปานปรีย์” แนะแก้ 4 โจทย์ใหญ่รับมือ “ทรัมป์ 2.0” ผนึกพันธมิตรเพิ่มอำนาจต่อรอง วางแผนช่วยเกษตรกรกรณีต้องนำเข้าสินค้าเกษตรเพิ่ม “นักวิชาการ” ชี้ไทยตั้งรับตัวรับให้เร็วใน 2 ปี เตือนนโยบายสหรัฐเปลี่ยนได้ตลอดขึ้นกับผลประโยชน์ ระบุข้อดี “ทรัมป์” ทำให้สงครามจริงบรรเทาลง

กรุงเทพธุรกิจ” จัดเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2568 หลังจากที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 และเริ่มลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกนโยบายของ “โจ ไบเดน” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ประเทศไทยท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว ว่า ต้องจับตานโยบายของทรัมป์ หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ซึ่งช่วงเริ่มต้นอาจยังไม่ชัดเจนว่าที่พูดมาทั้งหมดจะเป็นจริงหรือไม่อย่างไร

“คงไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าสถานการณ์โลกแบ่งขั้วปัจจุบันจะมาจากสหรัฐกับจีน รวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เราเผชิญความแตกแยกความผันผวนด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีด้วย”

ทั้งนี้ หลังทรัมป์ได้ชัยชนะการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย.2567 การกลับมาจะส่งผลอย่างไรเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจับตามองและเตรียมรับมือ โดยมีประเด็นหลัก 4 ประเด็น คือ 

1.ภูมิรัฐศาตร์และโลกแบ่งขั้ว ซึ่งในยุโรปเกิดส่งครามรัสเซียและยูเครนมาแล้ว 3 ปี ทุกฝ่ายต่างจับตามองว่าจะคลี่คลายหรือไม่ ส่วนสงครามตะวันออกกลางขยายวงไปในพื้นที่อื่น รวมถึงอิหร่านและอิสราเอลด้วย ขณะที่ภูมิภาคเอเชียต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ทะเลจีนตะวันออก 

ทั้งนี้ การแข่งขันภูมิรัฐศาสตร์เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น เกิดการแบ่งขั้วธุรกิจและเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นหัวใจทางอำนาจทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสาร และปัญญาประดิษฐ์ จึงจำป็นต้องรักษาความสมดุลเพื่อลดความเลี่ยงการพึ่งพา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกคือ ผู้เล่นที่เป็นเอกชน เช่น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว การแบ่งขั้ว สร้างระบบภาษี ระบบการค้าโลก WTO ชะงักงัน รวมถึงนโยบายกีดกันการค้าสุดโต่ง ทำให้แต่ละประเทศต้องกลับมาปกป้องตัวเอง โดยรวมกลุ่มแบบภูมิภาคนิยมมากขึ้นของกลุ่มอุดมคติคล้ายกัน

2.สหรัฐเปลี่ยนโลก การที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดทั้ง 2 สภาทำให้มีอำนาจเต็ม อีกทั้ง คนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งล้วนมีจุดยืนแข็งกร้าวกับจีน ซึ่งทรัมป์ 2.0 จะเน้นนโยบาย America First ที่เน้นเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและพลังงาน ให้มากกว่าระเบียบโลก สร้างความแข็งแกร่งมั่นคงให้ทั้งคนและประเทศ ซึ่งการเจรจาการค้าจะติดต่อโดยตรง เจรจาเป็นกรณีต่อกรณีใช้วิธีต่อรอง

นอกจากนี้ ทั้ง UN และ NGO จะเปิดโอกาสให้จีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในระเบียบใหม่ ดังนั้น ประเทศขนาดกลางและเล็กต้องหาหลักใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือก เช่น กลุ่มบริกส์ ซึ่งหากไทยเข้าร่วมจะเหมือนเป็นการต่อต้านจึงเชื่อว่าทรัมป์จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน

“ผลที่ติดตามมาคือทำให้การแบ่งขั้วกับจีนเข้มข้นขึ้น อาวุธที่ใช้คือ ขึ้นภาษีประเทศที่ได้ดุลกาารค้าสูงสุด อย่าง จีน 60% และกีดกันเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้สงครามการค้ารุนแรงกว่าเดิม”

จัด3กลุ่มสินค้าเจรจากับสหรัฐ

3.ประเทศไทยท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว จากนี้ไปอีก 4 ปี ไทยต้องเผชิญ การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่คาดเดายาก จึงต้องตั้งรับการเปลี่ยนแปลงทั้งเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี สหรัฐอาจทบทวนการดำเนินสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ และยกเลิกเจรจาและตกลงใหม่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ ในขณะที่ความสัมพันธ์กับไทยที่ยาวนานอาจไม่เปลี่ยน แต่เศรษฐกิจต้องรับมือซึ่งไม่เป็นผลดีกับไทยมากนัก

นอกจากนี้ การที่ไทยมีมูลค่าการส่งออก 2.8 แสนดอลลาร์ โดยตลาดใหญ่คือสหรัฐ 17% มูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ อยู่อันดับ 12 ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ซึ่งมาตรการขึ้นภาษีจะทำให้ต้นทุนสินค้านำเข้าทั่วโลกสูงขึ้นและไทยได้รับผลกระทบ 

ทั้งนี้ไทยต้องวางยุทธศาสตร์เตรียมพร้อมความผันผวน ควรเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐ อาจร่วมลอบบี้กับวอชิงตันและจัดกลุ่มสินค้า 3 กลุ่ม เพื่อเจรจาสหรัฐ คือ

1.กลุ่มที่ไทยได้ดุลการค้า

2.กลุ่มสินค้าเกษตร ที่สหรัฐอาจให้ไทยนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น

3.กลุ่มสินค้าที่การส่งออกของไทยไปสหรัฐขยายตัวเร็ว เช่น สินค้าเกษตร เซมิคอนดักเตอร์ และแผงโซลาร์

อีกทั้ง อาจหามาตรการเยียวยาภาคเกษตรกรที่ส่งออกไปสหรัฐ และอาจมีความเป็นไปได้ที่บังคับให้ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐ ส่วนการที่จีนหลบเลี่ยงนำเข้าภาษี ย้ายฐานการผลิตมาไทยให้เป็นผู้ส่งออกแทน สหรัฐอาจมองว่าใช้ประเทศไทยหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าได้ และอาจโดนตรวจสอบสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวดและเรียกภาษีไทยสูงขึ้นด้วย จะส่งผลกระทบในภาพรวม

“นักลงทุนสหรัฐมองเราอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยง มาตรการขึ้นภาษีสหรัฐ เพื่อสร้างฐานการผลิตและพึ่งพา ดังนั้น มาตรการดึงดูดการลงทุนจะต้องรับมือเพื่อให้ไทยน่าลงทุน”

แนะไทยเพิ่มอำนาจต่อรองสหรัฐ

4.การดำเนินนโยบายไทยในโลกแบ่งขั้ว โดยยุคทองการค้าระหว่างประเทศจบลง ซึ่งทรัมป์มาพร้อมความไม่แน่นอนสูง โดยไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ไม่ที่คาดไม่ถึง เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ และไทยโชคดีมีต้นทุนความไม่ขัดแย้งกับประเทศใดจึงต้องมีนโยบายกระจายความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

“ไทยต้องรวมกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ประเทศอำนาจขนาดกลาง และประเทศที่เติบโตเร็ว เพื่อรักษาสถานะการไม่เป็นส่วนหนึ่งของการขัดแย้ง โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ยึดค่านิยมสากลเป็นที่ตั้ง สร้างความเข้มแข็งอำนาจต่อรอง เสริมสร้างความเป็นแกนกลางอาเซียนผ่านกลไกที่รักษาเสถียรภาพไม่ให้ภาคีภายนอกใช้ประโยชน์ตรงนี้”

ทั้งนี้ การที่ไทยมีมิตรจะช่วยสร้างอำนาจต่อรองให้มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อม เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างเสถียรภาพ สถานะ อิทธิพลไปสู่ระเบียงโลกใหม่อย่างเต็มที่ และต้องเป็นกลาง รักษาสมดุลโลกแบ่งขั้ว แบ่งค่าย เพื่อให้ฝ่าฟันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงต่อไปได้

ส่วนประเด็นเมียนมาถือมีส่วนสำคัญเพราะมีพื้นที่ติดกับไทยยาว เรามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างประชาชนต่อประชาชน ประเทศมหาอำนาจต่างให้ความสนใจ ไทยโดนสหรัฐถามถึงจุดยืนกับเมียนมาเพราะมองว่าไทยให้การสนับสนุน และด้วยไทยซื้อพลังงานเมียนมา สหรัฐจึงอยากให้ไทยยุติการซื้อพลังงานเมียนมาซึ่งเป็นไปไม่ได้

เสนอไทยปรับตัวให้เร็วในเวลาสั้น

รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการมูลนิธิอาเซียน กล่าวว่า ไทยต้องคำนึงการเปลี่ยนแปลงภายหลังการรับตำแหน่งของทรัมป์ และต้องปรับตัวรวดเร็วในระยะสั้น ซึ่งจะเห็นว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกอย่าชัดเจน ดังนั้น การปรับตัวให้ยั่งยืนให้ได้ในระยะยาวต้องทำให้เร็ว เช่น เวียดนามปฏิรูประบบราชการ อินโดนีเซียหาพันธมิตรเพิ่ม ซึ่งไทยต้องปรับโครงสร้างภายในรูปแบบนี้เช่นกัน

สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนภายในต้องเร่งทำ เช่น กลไกตลาดที่ผลักดันให้ตัดสินใจแบบเดิมไม่เกิด เพราะเป็นยุคของผู้นำที่เข้มแข็งที่คิดว่าจะควบคุมทุกอย่างได้ทั้งหมด โดยไทยต้องมองแผนระยะยาว ดูผลประโยชน์ไทยว่าอยู่ตรงไหนและเล่นบทบบาทเวทีอาเซียน เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง

“เรายังพอมีเวลาเพราะทรัมป์คงไม่ทำทุกอย่างแบบเท่ากันหมดทุกประเทศในทีเดียว อาจจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทั้งมาตการกีดกันทางการค้า โดยจะค่อยๆ ไตร่อำนาจเพิ่มขึ้น ดังนั้น ทีมเจรจาไทยจะต้องประสานงานอย่างดีทั้งภาครัฐที่มีวิสัยทัศน์”

นอกจากนี้ มีเรื่องน่ายินดี 2 เรื่อง คือ 1.ทรัมป์เริ่มพุ่งเป้าจัดการกับพันธมิตรตัวเองก่อน เช่น การขึ้นภาษีเม็กซิโกและแคนาดา ดังนั้น ทรัมป์จะจุดประเด็นความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และความขัดแย้งทางการค้ากับประเทศพันธมิตรก่อนทำให้ไทยพอมีเวลา 

2.การเลือกตั้งกลางเทอมในอีก 2 ปี ซึ่งอำนาจทรัมป์ที่คุมเสียงทั้ง สว. และ สส.อาจลดลง ดังนั้น ไทยจะต้องปรับตัวให้เร็วใน 2 ปีนี้

ชี้นโยบายสหรัฐจะเปลี่ยนได้ตลอด

รศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นโยบายของทรัมป์จะเปลี่ยนแปลงได้เมื่อนโยบายเหล่านั้นสนับสนุนผลประโยชน์ของทรัมป์และสหรัฐ

ทั้งนี้ แนวคิดของทรัมป์แตกต่างจากไบเดน เพราะมีความเชื่อว่าภัยคุกคามสูงสูดของประเทศ คือ “จีน” ไม่ใช่ "รัสเซีย” ทำให้แนวโน้มสหรัฐหันกลับมาหาความร่วมมือกับเอเชียมากขึ้น ซึ่งจะเป็นโอกาสให้รัฐบาลไทยและกลุ่มธุรกิจในภูมิภาคนี้มีข้อต่อรองกับสหรัฐมากขึ้น

รวมทั้งนโยบายของพรรคเดโมแครตในยุคนี้ ไม่มีท่าทีที่ชัดเจนต่อเหตุการณ์ในทะเลจีนใต้ และไม่ให้คำมั่นอย่างชัดเจนว่าจะเข้าช่วยฟิลิปปินส์เมื่อไหร่

ทั้งนี้ หากย้อนดูสัมพันธ์ทางการค้าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ไทยได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐและเสียดุลการค้าจีน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยต้องปรับสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจัน และไทยกับสหรัฐให้มีความเท่าเทียมกัน

ชี้ข้อดี“ทรัมป์”สงครามบรรเทาลง

ผศ.ดร.พงศ์พิสุทธิ์ บุษบารัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการสถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS Thailand) เผยว่า จะเห็นความผันผวนของนโยบายต่างประเทศมากขึ้น เช่น สงครามการค้า และการขึ้นภาษี ซึ่งอาจทำให้คาดเดาได้ยาก รวมทั้งสหรัฐจะลดบทบาทหลายเวที เช่น ข้อตกลงปารีส องค์การอนามัยโลก

ดังนั้น การที่สหรัฐลดบทบาทการสนับสนุนกฎระเบียบระหว่างประเทศ อาจทำให้การส่งเสริมการค้าเสรี และการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนถูกบั่นทอน ส่งผลกระทบต่อทั้งการเมืองภายใน และการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะพันธมิตรของสหรัฐที่เป็นตัวช่วยสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ซึ่งในที่สุดแล้วจะไม่มีผู้นำที่ทำให้สถานการณ์โลกผันผวนไปตามการเมืองภายในของสหรัฐ

ส่วนข้อดีคือ ความขัดแย้งและสงครามอาจบรรเทาลงแต่ความขัดแย้งเหล่านั้นยังคงไม่หายไป เนื่องจากการเจรจา เช่น การเจรจาเกี่ยวกับสงครามยูเครน-รัสเซียยังคงไม่คืบหน้าส่วนการตกลงหยุดยิงระหว่างอิราเอลและฮามาสยังคงไม่แน่นอน เพราะเบนจามินเนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ไม่ลังเลที่จะตอบโต้กลับหากผลประโยชน์อิสราเอลถูกละเมิด