'ปานปรีย์' แนะ ข้อเสนอไทยแก้ 4 โจทย์ใหญ่รับมือ 'ทรัมป์ 2.0'

'ปานปรีย์' แนะ ข้อเสนอไทยแก้ 4 โจทย์ใหญ่รับมือ 'ทรัมป์ 2.0'

"ปานปรีย์" แนะแก้ 4 โจทย์ใหญ่รับมือนโยบาย "ทรัมป์" หลังเข้าพิธีสาบานตน ยันไทยผนึกพันธมิตรสร้างแต้มต่อการค้า - การลงทุน 

"กรุงเทพธุรกิจ" จัดเสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ Geopolitics 2025 | TRUMP 2.0 : The Global Shake Up โดยมี ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ประเทศไทยท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว" ว่า จะต้องจับตานโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ภายหลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ ซึ่งในช่วงเริ่มต้นอาจจะยังไม่ชัดเจนว่าที่พูดมาทั้งหมดจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างไร 

อย่างไรก็ตาม คงไม่มีใครปฏิเสธว่าสถานการณ์โลกแบ่งขั้วปัจจุบันจะมาจากสหรัฐกับจีน รวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เราเผชิญความแตกแยกความผันผวนด้านเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีด้วย

\'ปานปรีย์\' แนะ ข้อเสนอไทยแก้ 4 โจทย์ใหญ่รับมือ \'ทรัมป์ 2.0\'

นอกจากนี้ จากการที่ทรัมป์ได้ชัยชนะการเลือกตั้งวันที่ 5 พ.ย.2567 และได้เข้าพิธีสาบานตนรอบ 2 หรือทรัมป์ 2.0 การกลับมาจะส่งผลอย่างไรนั้นถือเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายจับตามอง และเตรียมรับมือโดยเฉพาะนโยบายต่างๆ ใน 4 หัวข้อหลัก คือ

1. ภูมิรัฐศาสตร์ และโลกแบ่งขั้ว ซึ่งในยุโรปเกิดสงครามรัสเซีย และยูเครนมาแล้ว 3 ปี ทุกฝ่ายต่างจับตามองว่าจะคลี่คลายหรือไม่

ส่วนสงครามตะวันออกกลาง ได้ขยายวงไปในพื้นที่อื่นๆ รวมถึงอิหร่านและอิสราเอลด้วย ซึ่งถือว่ามีข่าวดีมาบ้าง โดยสัปดาห์ก่อนอิสราเอลกับฮามาสมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว ส่วนในภูมิภาคเอเชียก็ต้องเฝ้าระวัง ทั้งสถานการณ์ทะเลจีนใต้ ทะเลจีนตะวันออก เป็นต้น 

"โลกปัจจุบันการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นตัวขับเคลื่อนเราให้เกิดการแข่งขันด้านเศรษฐกิจที่รุนแรง ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น เกิดการแบ่งขั้วธุรกิจและเทคโนโลยีขั้นสูงที่เป็นหัวใจทางอำนาจทั้งทางทหาร และเศรษฐกิจ รวมถึงอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสาร และปัญญาประดิษฐ์ จึงจำป็นต้องรักษาความสมดุลเพื่อลดความเสี่ยงลดพึ่งพา"

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะเกิดขึ้นอีกคือ จะยังเห็นผู้เล่นที่เป็นเอกชน เช่น บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน การแตกขั้ว สร้างระบบภาษี ความเชื่อมั่นเผชิญความท้าทาย ระบบการค้าโลก WTO ชะงักงัน กระแสโลกที่เคยได้ประโยชน์การค้า การเดินทางกำลังจะตบตีกับกระแสโกลบอลไรเซชัน นโยบายกีดกันการค้าแนวคิดสุดโต่ง จึงทำให้แต่ละประเทศต้องกลับมาปกป้องตัวเองมากขึ้น โดยรวมกลุ่มแบบภูมิภาคนิยมมากขึ้น เพื่อปกป้องตนเองในภูมิภาคที่มีอุดมคติคล้ายกัน

2. สหรัฐเปลี่ยนโลก การที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดทั้ง 2 สภาฯ ทำให้มีอำนาจเต็ม ซึ่งนโยบายที่หาเสียงปฏิบัติง่ายขึ้น อีกทั้ง คนที่เข้ามาดำเนินตำแหน่งต่างๆ ล้วนมีจุดยืนแข่งก้าวกับจีน ดังนั้น ทรัมป์ 2.0 จะเน้นนโยบาย America First ที่เน้นเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและพลังงาน ให้มากกว่าระเบียบโลก สร้างความแข็งแกร่งมั่นคงให้ทั้งคน และประเทศ ซึ่งการเจรจาการค้าจะติดต่อโดยตรง เจรจาเป็นกรณีต่อกรณี และต่อรอง 

นอกจากนี้ ทั้ง UN และ WTO จะเปิดโอกาสให้จีนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในระเบียบใหม่ ดังนั้น ประเทศขนาดกลาง และเล็กจะต้องหาหลักใหม่เพื่อเพิ่มทางเลือก เช่น กลุ่มบริกส์ ซึ่งหากไทยเข้าร่วมจะทำให้เหมือนเป็นการต่อต้านจึงเชื่อว่าทรัมป์จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน 

"ผลที่ติดตามมาคือ ทำให้การแบ่งขั้วกับจีนเข้มข้นขึ้น อาวุธที่ใช้คือ การขึ้นภาษีประเทศที่ได้ดุลการค้าสูงสุด อย่าง จีน 60% และกีดกันเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้สงครามการค้ารุนแรงกว่าเดิม" 

3. ประเทศไทยท่ามกลางโลกแบ่งขั้ว จากนี้ไปอีก 4 ปี ไทยต้องเผชิญ การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ที่คาดเดายาก จึงต้องตั้งรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี สหรัฐอาจทบทวนการดำเนินสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ และยกเลิกเจรจา และตกลงกันใหม่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ ในขณะที่ความสัมพันธ์กับไทยที่ยาวนานอาจไม่เปลี่ยน แต่เศรษฐกิจต้องรับมือซึ่งไม่เป็นผลดีกับไทยมากนัก

\'ปานปรีย์\' แนะ ข้อเสนอไทยแก้ 4 โจทย์ใหญ่รับมือ \'ทรัมป์ 2.0\'

นอกจากนี้ การที่ไทยมีมูลค่าการส่งออก 2.8 แสนดอลลาร์ โดยตลาดใหญ่คือ สหรัฐ 17% มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ อยู่อันดับ 12 ถือว่ามีความเสี่ยงสูง ซึ่งมาตรการขึ้นภาษีจะทำให้สินค้านำเข้าทั่วโลกสูงขึ้น ไทยได้รับผลกระทบ และต้องวางยุทธศาสตร์เพื่อเตรียมพร้อมความผันผวน ควรเจรจาทวิภาคีกับสหรัฐ อาจร่วมล็อบบีกับวอชิงตัน และจัดกลุ่มสินค้าแต่ละประเภทที่มีมูลค่าส่งออกสูง และเกินดุล อาทิ สินค้าเกษตร เซมิคอนดักเตอร์ แผงโซลาร์ เป็นต้น

อีกทั้ง อาจหามาตรการเยียวยาภาคเกษตรกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐ และอาจมีความเป็นไปได้ที่บังคับให้ไทยนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐ ส่วนการที่จีนหลบเลี่ยงนำเข้าภาษี ย้ายฐานการผลิตมาไทยให้เป็นผู้ส่งออกแทน สหรัฐอาจมองว่าใช้ประเทศไทยหลบเลี่ยงภาษีนำเข้าได้ และอาจโดนตรวจสอบสินค้านำเข้าอย่างเข้มงวด และเรียกภาษีไทยสูงขึ้นด้วย จะส่งผลกระทบไทยภาพรวม

"นักลงทุนสหรัฐมองเราอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยง มาตรการขึ้นภาษีสหรัฐ เพื่อสร้างฐานการผลิต และพึ่งพา ดังนั้น มาตรการดึงดูดการลงทุนจะต้องรับมือเพื่อให้ไทยน่าลงทุน"

อย่างไรก็ตาม การป้องกันของสหรัฐอาจทำให้ประเทศที่เป็นเป้า ตอบโต้ตั้งกำแพงภาษีต่างตอบแทนเช่นกัน ไทยจะกระทบด้วย จึงต้องสร้างเครือข่ายระดับสูงกับประเทศที่มีอำนาจสูงต่อสหรัฐ และชี้ให้เห็นประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกัน ส่งเสริมการค้าลงทุนมากขึ้น ลดความเสี่ยงของมาตรการตอบโต้ อาจยอมซื้อสินค้าในสหรัฐบางรายการ และส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐมากขึ้น

4. การดำเนินนโยบายไทยในโลกแบ่งขั้ว โดยยุคทองของการค้าระหว่างประเทศได้จบลงแล้ว ทรัมป์จะมาพร้อมความไม่แน่นอนสูง ไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ต้องรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ซึ่งไทยโชคดีที่มีต้นทุนความไม่ขัดแย้งกับประเทศไหน จึงต้องดำเนินนโยบายกระจายความเสี่ยงทั้งด้านเศรษฐกิจ และความมั่นคง 

"การรวมกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน และประเทศอำนาจขนาดกลาง และประเทศที่เติบโตเร็ว เพื่อรักษาสถานะของการไม่เป็นส่วนหนึ่งของการขัดแย้ง ยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ยึดค่านิยมสากลเป็นที่ตั้ง ส่งเสริมความเข้มแข็งอำนาจต่อรอง เสริมสร้างความเป็นแกนกลางอาเซียนผ่านกลไกต่างๆ รักษาเสถียรภาพไม่ให้ภาคีภายนอกใช้ประโยชน์ตรงนี้"

ทั้งนี้ การที่ไทยมีมิตรจะช่วยสร้างอำนาจต่อรองให้มีบทบาทเป็นสะพานเชื่อม เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างเสถียรภาพ สถานะ อิทธิพลไปสู่ระเบียบโลกใหม่อย่างเต็มที่ และต้องเป็นกลาง รักษาสมดุลโลกแบ่งขั้ว แบ่งค่าย เพื่อให้ฝ่าฟัน ต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงต่อไปได้ 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์