ต้นทุนผลิตอาหารของ“ไทย-อาเซียน”พุ่ง ปมสภาพอากาศ-เปลี่ยนผ่านพลังงาน

ต้นทุนผลิตอาหารของ“ไทย-อาเซียน”พุ่ง   ปมสภาพอากาศ-เปลี่ยนผ่านพลังงาน

การประชุมวิชาการASEAN Food and Beverage Alliance’s Paper Launch and Discussion Eventภายใต้หัวข้อ “Climate Change and Food Prices in Southeast Asia”

ซึ่งจัดโดยสมาพันธ์ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน (ASEAN Food and Beverage Alliance: AFBA)ร่วมกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Oxford Economics เพื่อหารือและให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อความมั่นคงทางอาหาร ต้นทุนการผลิต อุปทานอาหาร และเสถียรภาพราคาอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่อินโดนีเซีย

 จากนั้น เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2568 ผู้แทนจากสมาพันธ์ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มของอาเซียน(AFBA)ได้ขอหารือร่วมกับทาง สศก. ในประเด็นข้อค้นพบจากรายงานผลการศึกษา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและราคาอาหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาวการณ์ของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI)ที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 

 นางสาวกาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยมีเครื่องมือเพื่อประเมินความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านอาหาร โดยพิจารณาจาก อัตราการพึ่งพาตนเอง(Self-Sufficiency Ratio: SSR)ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงสัดส่วนของปริมาณผลผลิตที่ผลิตได้ในประเทศเทียบกับปริมาณผลผลิตที่ต้องใช้บริโภคภายในประเทศ พบว่า ในภาพรวมไทยมีอัตราการพึ่งพาตนเองด้านอาหารสูง เนื่องจากสามารถผลิตอาหารได้มากกว่าความต้องการบริโภค รวมถึงมีกลไกขับเคลื่อนการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร อาทิ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ระยะที่1 (พ.ศ.2566-2570)และปฏิทินผลผลิตสินค้าเกษตรรายเดือน (Monthly Agricultural Crop Calendar)

นอกจากนี้ มีการแลกเปลี่ยนในประเด็นนโยบายและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตรเช่น ผลผลิตลดลง ปัญหาด้านโรคพืชและแมลง การเปลี่ยนแปลงฤดูเพาะปลูก เป็นต้น ซึ่งไทยมีมาตรการรองรับในเรื่องดังกล่าว โดยจัดทำแผนปฏิบัติการด้านการเกษตรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2566-2570 และโครงการต่างๆ ภายใต้หน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อาทิ การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) การขยายพื้นที่ชลประทานเป็น 40 ล้านไร่ การประกันภัยข้าวนาปี การบริหารจัดการพื้นที่ภายใต้แผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map)ตลอดจนการศึกษาวิจัยด้านการเกษตรที่ดำเนินการโดย สศก. อีกด้วย

สำหรับรายงานClimate Change and Food Prices in Southeast Asia:2024Update  จัดทำโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจOxford Economicsซึ่งได้ทำการศึกษาสถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคอาเซียนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยพบว่า หากอุณหภูมิโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1% จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอาหารของประเทศเพิ่มขึ้นตาม1 - 2% ยกเว้นฟิลิปปินส์ที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง6%

นอกจากนี้ การเก็บภาษีคาร์บอน การเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)ภายในปี 2050 นั้น จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงและไฟฟ้า รวมถึงต้นทุนการผลิตอาหารเพิ่มขึ้น ถึง31 - 59% รวมทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะแก่รัฐบาลของประเทศอาเซียนในประเด็นการลดข้อจำกัดด้านการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนFDIจากนักลงทุนต่างชาติ และการผลักดันการลงทุนเกษตรกรรมอัจฉริยะด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture: CSA)

ข้อมูลจากรายงานระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ แม้ว่าจะจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการพัฒนาทั่งโลก แต่จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อค่าใช้จ่ายด้านอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวจะผลักดันให้ต้นทุนพลังงาน แรงงาน และปัจจัยอื่นๆ ในการผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสูงขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเด่นชัดในประเทศอาเซียนซึ่งระบบพลังงานยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมากดังนั้นเมื่อทั่วโลกบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานปัจจุบันจะพบว่า บรรดาประเทศอาเซียน ราคาอาหารในอินโดนีเซียได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องมาจากการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลสูง และมีความเปราะบางต่อราคาอาหารโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

“ที่ผ่านมา สศก.ได้มีส่วนร่วมขับเคลื่อนกลไกด้านความมั่นคงทางอาหารของอาเซียนมาอย่างต่อเนื่อง โดยผ่านAPTERR (ASEANPlus Three Emergency Rice Reserve)ในฐานะหน่วยงานหลักของไทย มีเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเป็นผู้แทนไทยในคณะมนตรีAPTERRรวมถึงได้สนับสนุนสถานที่ตั้งสำนักเลขานุการ บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย อาทิ เหตุพายุนาร์กีส (ปี 2553) พายุไห่เยี่ยน (ปี 2557) และสนับสนุนเงินทุนดำเนินงานของAPTERRปีละ 8,000ดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2556จนถึงปัจจุบัน" 

รวมถึงเป็นหน่วยงานบริหารจัดการและดำเนินโครงการAFSIS (ASEAN Food Security Information System) (โดยการสนับสนุนจากประเทศบวกสาม) ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของประเทศสมาชิกASEAN+3(จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้) ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลความมั่นคงด้านอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียน และสนับสนุนระบบข้อมูลความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาค รวมถึงผลักดันให้AFSISเป็นกลไกที่มีความยั่งยืนในระยะยาว

สำหรับรายงานดังกล่าว จัดทำขึ้นจากการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตอาหารในอาเซียนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากปัจจัยคู่ขนาน ได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนและ เหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้าย การรุกรานยูเครนของรัสเซียทำให้ห่วงโซ่อุปทานอาหารของผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ทั้งสองของโลกต้องหยุดชะงักตั้งแต่กลางปี ​​2023 ผลกระทบของ เอลนีโญและเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายอื่นๆ ต่อภาวะเงินเฟ้อด้านอาหารได้รับความสนใจ

ในสื่อและการอภิปรายในที่สาธารณะ อุณหภูมิที่สูงเป็นประวัติการณ์ในประเทศต่างๆ เช่น ไทยและเวียดนามส่งผลให้ราคาอาหารบางประเภท โดยเฉพาะข้าว พุ่งสูงขึ้นในอาเซียน เนื่องจากอุปทานในประเทศลดลง และประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น อินเดีย ก็เริ่มใช้มาตรการกีดกันทางการค้า คาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ผลกระทบต่อความมั่นคงด้านอาหารและภาวะเงินเฟ้อจะเริ่มเป็นที่เข้าใจกันมากขึ้น ไม่เพียงแต่ในอาเซียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วเอเชียด้วย

    ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย ได้เตือนว่าราคาอาหารและค่าใช้จ่ายครัวเรือนในเอเชียอาจพุ่งสูงขึ้น หากไม่สามารถจัดการผลกระทบจากนโยบายบรรเทาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเหมาะสม ราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ผู้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น

ต้นทุนผลิตอาหารของ“ไทย-อาเซียน”พุ่ง   ปมสภาพอากาศ-เปลี่ยนผ่านพลังงาน