พาณิชย์เฝ้าระวังสถานการณ์“หอมแดง” เทรนด์ราคาชี้กำลังเข้าสู่ห้วงตกต่ำ

พาณิชย์เฝ้าระวังสถานการณ์“หอมแดง” เทรนด์ราคาชี้กำลังเข้าสู่ห้วงตกต่ำ

“หอมแดงไทย”เป็นสินค้าคุณภาพดี เป็นที่รู้จัก มีความต้องการใช้อย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมอาหารและยา โดยมีสรรพคุณทางยาที่ใช้ในตำรับยาสมุนไพร อีกทั้งรัฐบาลให้ความสำคัญในฐานะพืชเกษตรเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม หอมแดงยังเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนการผลิต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการผลผลิตในช่วงที่ออกสู่ตลาดมากการพัฒนาการค้าสินค้าหอมแดงจึงควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการเพาะปลูกและการเก็บรักษาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน รวมถึงสนับสนุนการแปรรูปเพิ่มมูลค่าสินค้าที่สอดรับกับความต้องการของตลาด อันจะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและคว้าโอกาสการส่งออกได้เพิ่มขึ้น

ข้อมูลจากเวบไซด์“ตลาดไทย” รายงานราคาหอมแดง ณ วันที่ 20 ม.ค. 2568 กิโลกรัม(กก.) ละ 76.55 บาท แต่หากย้อนดูราคาในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า  ม.ค. 2567 ราคาเฉลี่ยที่ 44.64-54.64  บาท  จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่ราคาตกต่ำสุดของปี คือ ก.พ. เฉลี่ยที่ 40-50 บาท เม.ย.เฉลี่ยที่ 43-54 บาท ก่อนจะค่อยๆผงกหัวขึ้นในเดือนพ.ค. ที่ 57-70 บาท 

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ติดตามสถานการณ์การค้าสินค้าหอมแดงของไทยอย่างต่อเนื่อง และหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ตอบรับนโยบาย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  ในการติดตามเฝ้าระวังช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด เชื่อมโยงและกระจายหอมแดงออกนอกแหล่งผลิต

การผลิตหอมแดงของไทยโดยข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในปีเพาะปลูก 2566/67มีปริมาณผลผลิต 148,239 ตัน ลดลง  0.72%จากปีก่อนหน้าแหล่งเพาะปลูกสำคัญ ได้แก่ ศรีสะเกษ สัดส่วน 51.77% ของผลผลิตทั้งหมด  เชียงใหม่ 21.78%  อุตรดิตถ์ 5.21% พะเยา 4.42% และอื่น ๆ 16.82%   สำหรับปีเพาะปลูก 2567/68 คาดการณ์ว่าจะมีผลผลิต 152,221 ตัน เพิ่มขึ้น 2.69% จากปีก่อนหน้า

 โดยสถานการณ์การค้าในปี 2566 ไทยส่งออกหอมแดง ปริมาณ 15,324 ตัน เป็นมูลค่า 12.10 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 29.38% จากปีก่อนหน้า 

ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ มาเลเซีย 48.31% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เวียดนาม 18.28%  สิงคโปร์ 12.53%  เกาหลีใต้  7.51% และอื่น ๆ 13.38%  สำหรับช่วง11 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยส่งออกหอมแดงปริมาณ 14,728 ตัน มูลค่า 12.11 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 19.59% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

พาณิชย์เฝ้าระวังสถานการณ์“หอมแดง” เทรนด์ราคาชี้กำลังเข้าสู่ห้วงตกต่ำ

มาเลเซียตลาดส่งออกหลักของไทย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติมาเลเซีย ได้เผยแพร่รายงาน Supply and Utilization Accounts (SUA) of Selected Agricultural Commodities (2019-2023) ระบุว่าหอมแดง หอมหัวใหญ่ และกระเทียม เป็นกลุ่มสินค้าเกษตรที่มาเลเซียพึ่งพาการนำเข้าเพียงอย่างเดียวโดยในปี 2566 ความต้องการใช้หอมแดงของมาเลเซียอยู่ที่ 39,824 ตัน และชาวมาเลเซียบริโภคหอมแดงเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ด้วยเหตุนี้ กระทรวงเกษตรและความมั่นคงทางอาหารของมาเลเซีย จึงได้พัฒนาการปลูกหอมหัวใหญ่และหอมแดง เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนี้ 1. ระยะก่อนการค้า (ปี 2567 – 2568) จะสำรวจศักยภาพการปลูก จัดหาเมล็ดพันธุ์ พร้อมทั้งกำหนดและพัฒนาพื้นที่ปลูกจำนวน 100 เฮกตาร์ โดยในระยะนี้ ตั้งเป้าจะผลิตหอมหัวใหญ่และหอมแดง 1,000 ตัน และ 2. ระยะการค้า (ปี 2569 – 2573) จะพัฒนาพื้นที่ปลูก 1,347 เฮกตาร์ โดยคาดว่าจะมีปริมาณผลผลิต 14,470 ตัน ตอบสนองต่อความต้องการในประเทศได้30% ภายในปี 2573

สำหรับอินโดนีเซียหอมแดงถือเป็นสินค้าผักสำคัญในภาคเกษตร หน่วยงานอาหารแห่งชาติของอินโดนีเซีย (Bapanas) ตั้งเป้าหมายให้อินโดนีเซียเป็นผู้นำการผลิตหอมแดงที่จะมีผลผลิตปีละ 1.35 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการบริโภคภายในประเทศอยู่ที่ 1.16 ล้านตัน แสดงถึงการมีผลผลิตที่เพียงพอต่อความต้องการในประเทศและสำหรับการส่งออก ในปี 2566 การส่งออกหอมแดงของอินโดนีเซียไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นไปในทิศทางที่ดี และการส่งออกไปมาเลเซียก็ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยส่งออกได้มากถึง 612.8 ตัน จากเพียง 59.6 ตัน ในปี 2564 

“กระทรวงพาณิชย์เฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยกรมการค้าภายในดูแลสินค้าเกษตร มุ่งหวังผลักดันราคาให้เป็นปีทองของสินค้าเกษตร ผ่านกลไกการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค ในการกำกับดูแลการค้าให้มีประสิทธิภาพ ให้เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาที่เป็นธรรมและคุ้มต้นทุน ”

โดยได้ประสานผู้ประกอบการและผู้ส่งออกเข้าไปรับซื้อเพื่อกระจายผลผลิตออกนอกแหล่งผลิต รณรงค์การบริโภคและเปิดจุดจำหน่ายให้ประชาชนเข้าถึงง่ายขึ้น และได้ผลักดันหอมแดงศรีสะเกษซึ่งเป็นสินค้าที่ขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) นำไปใช้รังสรรค์เมนูอาหารที่หลากหลาย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสนับสนุนการสร้างรายได้ให้เกษตรกร