เอกชนไทย ชง รัฐบาลตั้งทีมเจรจา สหรัฐ แนะ 'ยื่นหมูยื่นแมว' ผนึกอาเซียนต่อรองภาษี

เอกชน-นักวิชาการ หนุนรัฐตั้งทีมเจรจาสหรัฐลดผลกระทบนโยบายทรัมป์ 2.0 หลังไทยเสี่ยงถูกขึ้นภาษีนำเข้า แนะตั้งวอร์รูมเจรจาแบบยื่นหมูยื่นแมว ดึงภาคเอกชนร่วมทีมให้ข้อมูลการค้า “พาณิชย์” เผยเตรียมถกยูเอสทีอาร์ ก.พ.นี้ “สภาพัฒน์” แนะผนึกอาเซียน เจรจาเพิ่มอำนาจต่อรอง
KEY
POINTS
Key point
- ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐอยู่อันดับ 12 ของโลก
- พาณิชย์เตรียมยกทีมเยือนสหรัฐ เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐชุดใหม่ในเดือน ก.พ.2568
- ภาคเอกชนไทย -นักวิชาการ ชี้ ภาครัฐควรตั้งทีมเจรจาสหรัฐเพื่อลดผลกระทบที่ไทยถูกคาดหมายว่าจะถูกขึ้นภาษีนำเข้า 10%
- หอการค้าไทยเห็นว่าทีมเจรจาที่รัฐบาลจัดตั้งควรมีตัวแทนจากภาคเอกชนเข้าร่วม
- "อัทธ์ พิศาลวานิช " เสนอเจรจาแบบ“ยื่นหมูยื่นแมว”
- ซีไอเอ็มบี ไทย มองสงครามการค้ารอบใหม่รุนแรง
"โดนัลด์ ทรัมป์" ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่ 2 หลังจากเคยเป็นผู้นำสหรัฐเมื่อปี 2560-2564 ซึ่งก่อนจะเข้ารับตำแหน่งหลายฝ่ายได้จับตามองนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าเพื่อแก้ปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐ
ผลกระทบจากสงครามการค้าจากนโยบายทรัมป์ 2.0 คาดว่าจะรุนแรงกว่านโยบายทรัมป์ 1.0 ทำให้ภาคเอกชนไทยและนักวิชาการเห็นว่าภาครัฐควรที่มีการเจรจากับสหรัฐเพื่อลดผลกระทบที่ไทยถูกคาดหมายว่าจะถูกขึ้นภาษีนำเข้า 10% เพราะไทยได้ดุลการค้าสหรัฐต่อเนื่อง โดยในปี 2557 ไทยได้ดุลการค้า 9,311 ล้านดอลลาร์ และในปี 2567 (ม.ค.-พ.ย.) ไทยได้ดุลการค้าเพิ่มเป็น 32,287 ล้านดอลลาร์
สำหรับสหรัฐ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วนราว 18% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด โดยปี 2567 มีมูลค่า 54,956 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้า สหรัฐเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของไทย มีสัดส่วนราว 6% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด หรือ 19,528 ล้านดอลลาร์ โดยรวมไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐอยู่อันดับ 12 ของโลก
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดประเมินผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน แคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่นทั่วโลก
ทั้งนี้ มาตรการทางการค้าของสหรัฐจะออกมาชัดเจนเมื่อมีการแต่งตั้งคณะผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยมีแผนที่จะนำคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐ เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐชุดใหม่ในเดือน ก.พ.2568 เพื่อเจรจาขอยกเว้นการขึ้นภาษีสินค้าจากไทย
ส่วนสินค้าไทยที่เสี่ยงถูกสหรัฐใช้มาตรการทางภาษีมี 29 กลุ่มสินค้า ที่สหรัฐขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นในช่วงปี 2561-2566 เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ, เครื่องโทรศัพท์มือถือ, ไดโอด ทรานซิสเตอร์และอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลล์)
รวมถึงยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่, หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณและส่วนประกอบ
แนะผนึกอาเซียนเพิ่มอำนาจต่อรอง
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สหรัฐมีข้อมูลการค้าอยู่แล้วจึงอาจประกาศขึ้นภาษีก่อนจากนั้นจึงจะเปิดโอกาสให้เจรจาโดยข้อเสนอของภาคเอกชนที่ต้องการให้รัฐบาลตั้งทีมเจรจาเพื่อลดผลกระทบมองว่ารัฐบาลไทยอาจผนึกกำลังกับประเทศในอาเซียนเพื่อเจรจากับสหรัฐ เพราะหากไทยเจรจากับสหรัฐประเทศเดียวอำนาจต่อรองอาจไม่พอ
รวมทั้งหากไปเจรจาร่วมกับประเทศอื่นในอาเซียนมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเพราะไทยไม่ใช่ประเทศใหญ่ส่วนรายละเอียดการเจรจาอาจจะมีข้อแลกเปลี่ยนเช่น การแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter Trade) หรือมีวิธีการอื่นที่เป็นรายละเอียดที่จะมีการคุยกันในขั้นตอนหลังจากนี้
เสนอเจรจาแบบ“ยื่นหมูยื่นแมว”
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียนที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด ประเมินว่า กรณีที่ไทยถูกขึ้นภาษีนำเข้า 10% จะทำให้การส่งออกไปสหรัฐในปี 2568 ลดลง 5-10%
สำหรับการรับมือทรัมป์ 2.0 จำเป็นต้องเจรจากับสหรัฐแบบ “ยื่นหมูยื่นแมว” เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดสินค้าไทยในสหรัฐ โดยการนำเข้าสินค้าสหรัฐเพื่อแลกกับสินค้าที่จำเป็นของไทยในการส่งออกไปขายสหรัฐ
รวมทั้งกระจายสินค้าไปยังตลาดอื่น เช่น อินเดีย ตะวันออกลางเพื่อชดเชยมูลค่าสินค้าส่งออกที่ลดลงในสหรัฐผ่านการทำกิจกรรมในประเทศนั้นๆ และปรับลดต้นทุนการผลิตเพื่อชดเชยภาษีที่ทรัมป์เก็บ10% ให้มากสุดเท่าที่จะทำได้
หอการค้าเสนอเอกชนร่วมเจรจา
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐมาตลอด และตั้งแต่ปี 2565 ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐมากกว่าปีละ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งในกลุ่มอาเซียนเป็นรองเพียงเวียดนามที่เกินดุลมากที่สุด จึงทำให้ไทยเป็นเป้าหมายของมาตรการทางการค้าจากสหรัฐที่มุ่งลดขาดดุลกับประเทศคู่ค้า แต่ข้อเท็จจริงไทยเกินดุลส่วนหนึ่งมาจากบริษัทสหรัฐตั้งในไทย
ดังนั้น หอการค้าไทยเห็นว่าทีมเจรจาที่รัฐบาลจัดตั้งควรมีตัวแทนจากภาคเอกชนเข้าร่วม เพราะอยู่ในสนามการค้าและมีข้อมูลเชิงลึกที่สะท้อนปัญหาที่แท้จริงให้รัฐบาลใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนรับมือ พร้อมเจรจาต่อรองในสินค้าอื่นด้วย นอกจากนั้นเอกชนไทยส่วนหนึ่งลงทุนสหรัฐด้วย ดังนั้นหากนำเอกชนมาช่วยให้ข้อมูลในทีมเจรจาจะเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐ
ทั้งนี้ ภาคเอกชนที่ควรมีตัวแทนในทีมเจรจาควรอยู่ในกลุ่มธุรกิจสินค้าส่งออกหลัก เช่น อาหารและเกษตรกรรม อัญมณี ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง หากสหรัฐฯ ใช้มาตรการกีดกันทางการค้า เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า หรือกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดมากขึ้น (non-tariff barriers) จะส่งผลโดยตรงต่อผู้ประกอบการในภาคนี้เป็นหลัก
“เอกชน”จี้ตั้งวอร์รูมส่งทีมล็อบบี้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นโยบาย Make America Great Again จะทำให้มีมาตรการกีดกันทางการค้าเข้มข้นขึ้น ดังนั้น ส.อ.ท.จึงมีข้อเสนอต่อภาครัฐ แบ่งเป็น
1.ตั้ง War Room และเตรียมล็อบบี้ยิสต์ที่เข้มแข็งเตรียมแนวทางรับมือนโยบายการค้าสหรัฐ เพื่อลดผลกระทบภาคการส่งออกของไทยและรับมือผลกระทบทางอ้อม เนื่องจากทรัมป์จะเปลี่ยนระบบการค้าแบบพหุภาคีเป็นทวิภาคี ซึ่งรัฐบาลต้องมีลอบบี้ยีสต์ที่ดีในการเจรจาแลกเปลี่ยนผลกระโยชน์แบบ Win-Win
2.หาตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อรองรับสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐ เพราะหากยังมุ่งส่งออกตลาดเดิมจะเป็นความเสี่ยง โดยช่วงที่จีนโดนสงครามการค้าจากทรัมป์ 1.0 ได้หาตลาดใหม่ทำให้จีนลดพึ่งตลาดสหรัฐจากสัดส่วน 27% เหลือไม่ถึง 20% โดยมาทำตลาดอาเซียนมากขึ้น
นอกจากนี้ ไทยส่งออกไปสหรัฐช่วงทรัมป์ 1.0 ขยับอันดับจาก 14 เป็นอันดับที่ 12 ซึ่งปี 2567 เพิ่มขึ้นอีก โดยตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการอาจอยู่อันดับที่ 9 ดังนั้น ทรัมป์จะจับตาดูเป็นกรณีพิเศษ แล้วตั้งนโยบายมาตรการกับประเทศที่ได้ดุลการค้ามากขึ้น โดยเพิ่มค่าเงินให้แข็งกับประเทศคู่ค้าในข้อหาบิดเบือนค่าเงินกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐเกือบ 20% จะส่งผลต่อต้นทุนที่แพงขึ้น
ไทยเกินดุลการค้าอันดับ 12 ของสหรัฐ
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า ต้องจับตาการเซ็นคำสั่งของประธานาธิบดีภายใน 24 ชั่วโมง ว่ามีภารกิจใด โดยทรัมป์ตั้งเป้าเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้ากับจีนและประเทศอื่น แม้จะค่อยเป็นค่อยไปแต่ตอกย้ำการเดินหน้าสงครามการค้าต่อเนื่อง และรุนแรงกว่าทรัมป์เป็นประธานาธิบดีรอบแรก
ดังนั้น ผลกระทบมีต่อไทยแน่นอน โดยเฉพาะการส่งออก จากการช่วงชิงตลาดจีนในสหรัฐก่อนหน้านี้ทำให้ปัจจุบันไทยเกินดุลอันดับ 12 ของสหรัฐ จะทำให้สหรัฐเพ่งเล็งขึ้นภาษีไทย แต่ต้องติดตามว่าหากมีการขึ้นภาษีจริง การขึ้นภาษีอย่างไร หรือขึ้นเฉพาะรายสินค้า
รวมทั้งสิ่งที่จะเกิดขึ้นถัดมาจากนโยบายทรัมป์ คือการย้ายฐานการผลิต ที่อาจทำให้มีการย้ายการลงทุนเข้ามาในไทยต่อเนื่อง ดังนั้นไทยเองก็ต้องเร่งเดินหน้าในการดึงดูดการลงทุนมากขึ้น อีกด้านที่น่าจะมีผลกระทบกับไทย คือการท่องเที่ยวของจีนที่อาจเห็นชะลอลงต่อ จากการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐมากขึ้น ทำให้กำลังการจตับจ่ายใช้สอยต่างๆของธุรกิจ หรือคนจีนน่าจะมีน้อยลง
นอกจากนี้ ต้องจับตาความผันผวนต่อตลาดเงินตลาดทุนที่ระยะสั้นอาจเห็นเงินโยกกลับสหรัฐ จากความไม่แน่นอนของทรัมป์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการจูงใจของสหรัฐในการลดภาษีให้บริษัทนิติบุคคลที่ตั้งธุรกิจในสหรัฐ อีกทั้งถูกคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อสหรัฐจะสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้โอกาสเห็นการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐในครึ่งปีแรกยากขึ้น ที่จะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดเงินตลาดทุนผันผวนมากขึ้นหลังจากนี้
คาดไทยต้องนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า หลังจากนี้มีปัจจัยต้องติดตามหลายประเด็นทั้งการดำเนินนโยบายของทรัมป์ที่แน่นอน โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐว่าประเทศใดเข้าข่ายถูกเก็บภาษีเพิ่มเป็นรายสินค้า
ส่วนไทยเกินดุลการค้าจำนวนมากอาจทำให้ไทยถูกจับตาจากสหรัฐมากขึ้น และสิ่งที่ต้องจับตา คือ ผลกระทบครั้งนี้อาจทำให้ไทยต้องซื้อสินค้าสหรัฐเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพื่อลดการคาดดุลจากสหรัฐ
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า สิ่งที่อาจกระทบไทยมากที่สุดคือ หากทรัมป์ ขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าจากไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าทรัมป์จะมีการพิจารณาอย่างไร ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งภาคการส่งออก และสินค้ารายเซกเตอร์ ที่อาจถูกทรัมป์จับตามากขึ้น ดังนั้นไทยอาจโดนสองเด้ง ทั้งการขึ้นภาษีนำเข้า และไทยอาจถูกบังคับให้นำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น เหล่านี้จะกระทบต่อความสามารถแข่งขันของธุรกิจไทย ที่อาจกระทบได้
“ปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐอันดับ 1 ที่ 18% หรือ 1 ล้านล้านบาท ดังนั้น ต้องติดตามผลกระทบอย่างมากหลังจากนี้”