'พาณิชย์' เผย 29 กลุ่มสินค้าไทย เสี่ยงโดนสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า

"พาณิชย์" เกาะติด รับมือ "นโยบายทรัมป์" เผย ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 35,427.6 ล้านดอลลาร์ อยู่อันดับที่ 12 มี 29 กลุ่มสินค้าเสี่ยงโดนขึ้นภาษี เหตุเกินดุลต่อเนื่อง "พิชัย นริพทะพันธุ์"เตรียมบินเจรจาสหรัฐขอเว้นภาษี ก.พ.นี้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ติดตาม และประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐ ต่อการค้าโลก และไทยที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ทั้งการประกาศนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีน แคนาดา เม็กซิโก และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก การปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ ตลอดจนการดึงการลงทุนกลับไปยังสหรัฐ เพื่อสร้างการจ้างงานภายในประเทศ
“มาตรการทางการค้าของสหรัฐ จะออกมาให้เห็นชัดเจนมากขึ้น ภายหลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (The United States Trade Representative) หรือ USTR เรียบร้อย โดยจะเป็นหน่วยงานที่ดูแลการพิจารณา และออกประกาศมาตรการทางการค้าต่างๆ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทยมีแผนที่จะนำคณะผู้บริหารเยือนสหรัฐอเมริกา เพื่อหารือกับผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐ ชุดใหม่ในเดือนก.พ.เพื่อการเจรจาขอยกเว้นการขึ้นภาษีสินค้าจากไทย” นายพูนพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้สหรัฐ เป็น ตลาดส่งออก อันดับ 1 ของไทย มีสัดส่วนราว 18% ของ มูลค่าส่งออก ทั้งหมด โดยปี 2567 มีมูลค่า 54,956.2 ล้านดอลลาร์ ขณะที่การนำเข้า สหรัฐ เป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 4 ของไทย มีสัดส่วนราว 6% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด หรือมีมูลค่า 19,528.6 ล้านดอลลาร์ โดยรวมไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ 35,427.6 ล้านดอลลาร์ อยู่อันดับที่ 12 ของโลก
โดยกลุ่มสินค้าไทยที่มีความเสี่ยงอาจถูกสหรัฐ พิจารณาใช้มาตรการทางภาษีมีประมาณ 29 กลุ่มสินค้า เนื่องจากพบสถิติการค้าที่สหรัฐ ขาดดุลการค้ากับไทยมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 61 - 66)
เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ และส่วนประกอบ, เครื่องโทรศัพท์มือถือ, ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำแบบไวแสง (โซลาร์เซลล์), ยางนอกชนิดอัดลมที่เป็นของใหม่,หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องเปลี่ยนไฟฟ้าชนิดอยู่คงที่, เครื่องปรับอากาศ, เครื่องพิมพ์ที่ป้อนกระดาษเป็นม้วน, เครื่องส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์, วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องเพชรพลอย และรูปพรรณและส่วนประกอบของดังกล่าว
นอกจากนี้ ยังมีรายการกลุ่มสินค้าอื่นๆ ที่อาจมีความเสี่ยงโดนเก็บภาษีเช่นกัน เช่น เครื่องจักรไฟฟ้า ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง เฟอร์นิเจอร์ และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์จากไม้ รวมถึงสินค้าเกษตร และเกษตรแปรรูปบางรายการ อาทิ ปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง ขนมหวานที่ไม่มีส่วนผสมจากโกโก้ ขณะเดียวกัน สหรัฐ เองก็ได้จับตาประเทศที่มีกลุ่มทุนจีนเข้าไปลงทุนเพื่อตั้งฐานการผลิต เพราะต้องการเลี่ยงสงครามการค้า และมาตรการทางภาษีจากสหรัฐ
โดยประเทศปลายทางที่จีนเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม (Greenfield FDI) มากเป็น 10 อันดับแรก ในปี 66 ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย เวียดนาม โมร็อกโก คาซัคสถาน อียิปต์ อินโดนีเซีย อาร์เจนตินา เซอร์เบีย และเม็กซิโก
สำหรับในมุมของ เศรษฐกิจโลกปี 2568 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประเมินอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกไว้ที่ 3.3% และยังมองว่า เศรษฐกิจโลก ยังคงมีเสถียรภาพ และได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดยเติบโตอยู่ที่ 4.2% ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วเติบโตที่ 1.7%
อย่างไรก็ดี ไอเอ็มเอฟได้เตือนถึงความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกว่า ในระยะปานกลางเศรษฐกิจโลกอาจเผชิญกับความเสี่ยงนโยบายเศรษฐกิจในลักษณะที่เป็นการปกป้องที่เข้มข้นขึ้น (protectionist policies)
โดยเฉพาะนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรที่อาจนำไปสู่การลดลงของการลงทุน ลดทอนความมีประสิทธิภาพของตลาด เบี่ยงเบนทิศทางการค้า และอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ที่ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ และมาตรการ ที่นำไปสู่การเบี่ยงเบนทางการค้า (trade-distorting measures) จะทำให้เกิดความเสี่ยงของการค้าโลก และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งเวิลด์แบงก์ได้ปรับประมาณการปริมาณการค้าโลกขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เหลือ +3.1% สำหรับเศรษฐกิจ และการส่งออกไทย และอาเซียน คาดว่าจะส่งผลให้ขยายตัวลดลงเช่นกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์