ไทยสะเทือน 'นโยบายทรัมป์ 2.0' จับตาดึงลงทุน 'ดิจิทัล' กลับสหรัฐ

ไทยสะเทือน 'นโยบายทรัมป์ 2.0' จับตาดึงลงทุน 'ดิจิทัล' กลับสหรัฐ

“บีโอไอ” มองนโยบายทรัมป์ 2.0 สร้างโอกาสลงทุนใน “ส.อ.ท.” จับตาประกาศดึงทุนย้ายกลับประเทศ หวั่นกระทบลงทุนไทย ลุ้นค่ายยักษ์ใหญ่ดาต้า เซนเตอร์ - คลาวน์ อิเล็กทรอนิกส์ชะลอดูทิศทาง อีกด้านจ่อขึ้นภาษีสินค้าจีน 60-100% บีบคลื่นสินค้าแดนมังกรจ่อทะลักเข้าไทยครั้งใหญ่

หลายนโยบายของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ที่ใช้ในการหาเสียงจนชนะการเลือกตั้งเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ในด้านการลงทุน ทรัมป์ประกาศจะดึงทุนสหรัฐทั่วโลก ให้ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ ในขณะที่ด้านการค้า ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60-100% และขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศอื่น 0-20% จากคำประกาศดังกล่าว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ทรัมป์ มีนโยบาย Make America Great Again ต้องการสร้างเศรษฐกิจสหรัฐให้แข็งแกร่ง โดยส่งเสริมให้เปิดโรงงาน และจ้างแรงงานในสหรัฐเพิ่มขึ้น ซึ่งสิทธิประโยชน์หลักในการส่งเสริมการลงทุนคือ ลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% เหลือ 15% เพื่อดึงดูดการลงทุนให้ย้ายฐานกลับประเทศ (Reshoring)

ทั้งนี้ในสมัยที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดี (ทรัมป์ 1) ได้เรียกนักลงทุนสหรัฐมาพูดคุยเพื่อล็อบบี้ให้ย้ายฐานกลับ ซึ่งไทยต้องจับตาเช่นกัน เพราะเวลานี้มีกิจการหรือโครงการของนักลงทุนสหรัฐด้านดาต้า เซนเตอร์ คลาวด์เซอร์วิส อุตสาหกรรมดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ประกาศแผนการลงทุนในไทย ได้มาขอรับการส่งเสริม หรือได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมลงทุนแล้วหลายราย

“ต้องจับตาดูว่านโยบายที่ประกาศช่วงหาเสียงจะทำจริงหรือไม่ ในส่วนของไทยต้องจับตาดูการลงทุนของสหรัฐทั้งดาต้า เซนเตอร์ คลาวด์เซอร์วิส และกิจการอื่นที่กำลังเข้ามา ทั้งที่อยู่ระหว่างการขอรับการส่งเสริม กำลังจะรับใบส่งเสริม หรืออนุมัติการส่งเสริม และกำลังจะลงทุน โดยอาจล็อบบี้ให้กลับไปลงทุนที่สหรัฐ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสหรัฐที่อยู่ในไทย และนักลงทุนสหรัฐยังรอนโยบายของทรัมป์เช่นกัน”

นอกจากนี้ จากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60-100% ในแง่การลงทุน มองว่าจะเป็นโอกาสดีในการย้ายหรือขยายฐานการผลิตของจีนในหลายอุตสาหกรรมมายังอาเซียนรวมถึงไทย อาทิ สมาร์ตอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า แผงวงจรพิมพ์ (PCB) รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยางล้อรถยนต์ ซึ่งยังไหลเข้ามาต่อเนื่อง

ดังนั้น ต้องระวังการลงทุนของจีนในประเทศอื่นเพื่อสวมสิทธิหรือสวมโควตาเพื่อส่งออกไปสหรัฐ โดยต้องติดตามใกล้ชิดว่าสินค้าจีนที่ผลิตในไทยหรือในประเทศอื่นๆ อาจจะถูกเก็บภาษีเท่ากับสินค้าที่ส่งออกจากจีนไปสหรัฐโดยตรง ที่อาจจะถูกเรียกเก็บเพิ่ม 60-100%

นอกจากนี้ โรงงานของคนไทยที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันกับจีนที่ส่งออกไปสหรัฐ อาจจะถูกเหมาโหล และถูกกีดกันการค้า หรือถูกขึ้นภาษีสูงตามไปด้วย เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในสินค้ายางล้อรถยนต์ และแผงโซลาร์เซลล์ โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงอาจถูกจับตามองเวลานี้ คือ รถยนต์ EV ที่ค่ายรถยนต์จีนเข้ามาลงทุนในไทยหลายค่าย

“หากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีนตามที่หาเสียง จะส่งผลให้สินค้าจีนยิ่งไหลทวนหรือทะลักเข้ามาในตลาดเอเชีย และอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้นกว่าสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะทำให้ไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้น เวลานี้จีนถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย หากไทยไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอจะกระทบเอสเอ็มอีไทยที่ทำตลาดในประเทศอาจปิดตัวมากขึ้น”

อีกทั้ง นอกจากผู้ประกอบการในประเทศที่จะได้รับผลกระทบแล้ว ในตลาดส่งออกที่อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ของไทย สัดส่วนการส่งออก 23% จากที่สินค้าจีนจะทะลักเข้ามามากขึ้น จะทำให้ไทยส่งออกไปอาเซียนได้ลดลง

ไทยสะเทือน \'นโยบายทรัมป์ 2.0\' จับตาดึงลงทุน \'ดิจิทัล\' กลับสหรัฐ

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า นโยบาย Make America Great Again โดยประกาศดึงทุนกลับสหรัฐ ซึ่งข้อเท็จจริงสหรัฐต้องพึ่งพาซัพพลายเชนจากอาเซียนและประเทศพันธมิตรในวัตถุดิบและชิ้นส่วน 

ขณะที่จีนจะถูกสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่ม จึงจำเป็นต้องหาแหล่งผลิตนอกประเทศ รวมถึงหาผู้ร่วมทุน ลดสัดส่วนความเป็นจีน เพื่อลดความกดดันและลดความเสี่ยงจากมาตรการกีดกันการค้าของสหรัฐ

ทั้งนี้ จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะดึงการลงทุนจากสหรัฐและจีน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แบตเตอรี่ระดับเซลล์ รถ EV ดาต้าเซ็นเตอร์ และบริการคลาวด์มาตรฐานสูง 

รวมถึงกิจการสนับสนุนความเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานภูมิภาค ศูนย์จัดหาชิ้นส่วน และวัตถุดิบระหว่างประเทศ และศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศ

ดังนั้น นโยบายทรัมป์ 2.0 จึงมองเป็นโอกาสสำหรับไทย โดยจีนรับทราบการกีดกันทางการค้าจึงมาลงทุนไทย เพื่อไม่ต้องโดนกีดกันมาตรการทางการค้าซ้ำ 2 และลดสัดส่วนความเป็นจีนลง ซึ่งการลงทุนในไทยต้องใชัวัตถุดิบในไทยมากขึ้น

“ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายจากสงครามการค้า และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ประเทศไทยพิสูจน์ให้เห็นจุดแข็งการเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความเป็นกลาง และน่าเชื่อถือของภูมิภาค โดยมหาอำนาจทั้งจีน และสหรัฐได้เพิ่มการลงทุนในไทยต่อเนื่อง”

รวมถึงกลุ่มนักลงทุนหลักอื่นไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง ไต้หวัน และยุโรป ยังเดินหน้าขยายการลงทุนไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ดาต้าเซนเตอร์ และบริการคลาวด์ที่รองรับเทคโนโลยี AI และดิจิทัลขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า และชิ้นส่วนสำคัญ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ

ทั้งนี้อุตสาหกรรมเหล่านี้สำคัญต่อการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ช่วยต่อยอดฐานอุตสาหกรรมเดิมให้มั่นคง สร้างมูลค่าจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ สร้างงาน และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย

นายนฤตม์ กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1.ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ 2.การปรับเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว 3.Global Carbon Tax 4.เทคโนโลยี 5.Talent ทั้งนี้ สงครามการค้า และการกีดกันทางเทคโนโลยีที่คาดว่ารุนแรงขึ้นจะผลักดันให้นักลงทุนเร่งเคลื่อนย้ายฐานลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง โดยไทยมีความพร้อม และมีศักยภาพหลายด้าน

“ไทยมีความสัมพันธ์ดีกับนานาประเทศจะเป็นสะพานเศรษฐกิจเชื่อมโยงซัพพลายเชนให้มหาอำนาจขั้วต่าง ๆ ได้ นักลงทุนจึงมองไทยเป็นแหล่งลงทุนมั่นคงปลอดภัย และมีความโดดเด่นในภูมิภาค คาดว่าปีนี้จะดึงดูดโครงการผลิตแบตเตอรี่เซลล์ได้”

สำหรับทิศทางนโยบายส่งเสริมการลงทุนปี 2568 จะเดินหน้าดึงการลงทุนสร้างฐานอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและสนับสนุนไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนสำคัญ แบตเตอรี่ เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อัจฉริยะ ระบบอัตโนมัติ และหุ่นยนต์ ดาต้า เซนเตอร์ และบริการคลาวด์ เทคโนโลยี AI และดิจิทัลขั้นสูง

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์