‘สภาพัฒน์’ แนะรัฐสร้างกลไก หนุนธุรกิจไทยถือหุ้นบริษัทย้ายฐานผลิตมาไทย

“สภาพัฒน์” แนะรัฐบาลสร้างกลไกป้องกันสหรัฐกีดกันทางการค้าไทย หลังพบบริษัทจากสิงคโปร์มียอดขอส่งเสริมการลงทุนในไทยสูง ชี้เป็นบริษัทจีนที่แปลงร่างมา อาจถูกสหรัฐยุคทรัมป์เพ่งเล็งเพิ่ม แนะต้องให้บริษัทไทยเข้าไปถือหุ้นร่วมด้วย
KEY
POINTS
- “สภาพัฒน์” แนะรัฐบาลสร้างกลไกป้องกันสหรัฐกีดกันทางการค้าไทย
- หลังพบบริษัทจากสิงคโปร์มียอดขอส่งเสริมการลงทุนในไทยสูง ชี้เป็นบริษัทจีนที่แปลงร่างมา อาจถูกสหรัฐยุคทรัมป์เพ่งเล็งเพิ่ม
- แนะควรต้องสร้างกลไกให้บริษัทไทยเข้าไปถือหุ้นร่วมด้วย
- ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้มองขยายตัวได้2.3-3.3% อานิสงส์ลงทุนภาครัฐ-เอกชนหนุน
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 20 มกราคมนี้ ว่าจะต้องจับตาดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นซึ่งจะต้องใส่ไปในปัจจัยเสี่ยง (Take into Account) โดยผลกระทบจะต้องดูรายละเอียดของนโยบาย ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าสหรัฐขึ้นภาษีจีนเท่าไร แต่หากขึ้นสินค้าที่เข้าสหรัฐมีชิ้นส่วนของจีนจะเป็นเรื่องโกลาหลพอสมควร รวมถึงต้องดูระยะเวลาและช่วงเวลาของการดำเนินนโยบายจะออกมาอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีนโยบายอพยพแรงงานและการลดภาษีเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ
ทั้งนี้ นโยบาย 3 เรื่อง แม้ว่าการขึ้นภาษีทั้งจีนหรือไม่ว่าประเทศใดจะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ทำให้สหรัฐจะใช้ของแพงขึ้น ซึ่งหมายถึงต้นทุนของสหรัฐเพิ่มขึ้น เป็นนโยบายที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ดังนั้น นโยบายดอกเบี้ยที่เหมือนจะปรับลดลง อาจจะไม่ปรับลดลงได้ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะเห็นว่าทรัมป์ไม่เอาเลย อย่างไรก็ดี ในวันที่ 20 มกราคมนี้จะเห็นภาพชัดเจนขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไทยจะต้องมีกลไกที่จะที่จะทำให้ไทยเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า เนื่องจากในจำนวน FDI ที่ 8 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนสิงคโปร์ที่แปลงร่างจากจีน ดังนั้น ไทยต้องทำให้เป็นบริษัทไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหรือร่วมทุน โดยขณะเดียวกันไทยจะต้องพยายามเป็นประเทศเป็นกลางของสงครามการค้า
“เรามีข้อมูลพร้อมแล้ว ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี’68 ประเทศไทยเหมือนขี่พายุ แต่เราจะเห็น Head wind เยอะในช่วงครึ่งหลังของปีนี้แน่นอน เราจะต้องบริหารให้ดี โดยเฉพาะผู้ส่งออก เนื่องจากเราได้ดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับ 12 แม้ไม่เท่ากับจีนหรือเวียดนาม แต่ไทยอยู่ในจุดความเสี่ยงที่จะโดนกีดกันทางการค้า แต่เราต้องดูว่าทรัมป์จะออกมาตรการแบบจัดการทีเดียว หรือออกมาตรการทุบก่อนแล้วเรียกเจรจา ซึ่งเราและกระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมไว้หลายสมมติฐานกระทบอย่างไร”
ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มองว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% มีค่ากลาง 2.8% โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการลงทุนภาครัฐ และการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งในปี 2567 มีผู้ที่รับขอการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กว่า 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ราว 8.3-8.4 แสนล้านบาท โดยจะเร่งให้เกิดการลงทุนจริง เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งจะเป็นตัวหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ต่อไป