'เอกนัฏ' ไม่สนอิทธิพลมืด 4 เดือน สั่งปิดโรงงานทำผิดกฏหมายเพียบ

'เอกนัฏ' ไม่สนอิทธิพลมืด 4 เดือน สั่งปิดโรงงานทำผิดกฏหมายเพียบ

"เอกนัฏ พร้อมพันธุ์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่สนอิทธิพลมืด ทำงานเพียง 4 เดือน เดินหน้าสั่งปิดโรงงานทำผิดกฏหมายเพียบ

KEY

POINTS

  • "เอกนัฏ" เดินหน้าแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มโทษ โรงงานที่กระทำผิด เร่งปรับแก้ พ.ร.บ.โรงงาน และเพื่อให้เกิดความคล่องตัว
  • การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสภาพภูมิอากาศโลก เศรษฐกิจ และสังคม กลายเป็นปัญหาจริงไม่ใช่ปัญหาโลกสวยอีกต่อไป 
  • โรงงานต้องมีกระบวนการผลิตที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหนือสิ่งอื่นใด การสร้างกำไรต้องไม่เบียดเบียนสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

ภายหลังนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางเข้ากระทรวงอุตสาหกรรมเป็นวันแรก เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2567 กว่า 4 เดือน สิ่งที่เห็นชัดคือการประกาศนโยบาย “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย” โดยการเดินหน้าแก้ปัญหาขยะพิษ

พร้อมลงนามเอกสารเพื่อเป็นการเขียนคติประจำใจในการทำงานเพื่อเตือนสติตัวเอง ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งฯ และประเดิมงานแรก คือ การลงพื้นที่ไปติดตามการแก้ปัญหาขยะพิษจากโรงงาน บริษัท วินโพรเสส ที่จังหวัดระยอง ในช่วงบ่ายทันที 

นายเอกนัฏ กล่าวย้ำว่า การจะดำเนินขั้นตอนอย่างถูกต้อง และแม่นยำ จึงต้องใช้นวัตกรรมช่วยตรวจ ติดตามวางระบบส่วนกลางเพื่อมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อการดำเนินการที่ต้องเป็นธรรม และโปร่งใสต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อปฏิรูปอุตสาหกรรมใหม่ทั้ง 14 ฉบับ 

สิ่งที่รมต.อุตสาหกรรม มักจะเน้นย้ำเสมอคือ การแก้กฎหมายเพื่อเพิ่มโทษ โรงงานที่กระทำผิดซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับแก้ พ.ร.บ.โรงงาน เพราะที่ผ่านมาโรงงานอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายยอมเสียค่าปรับหลักแสน แลกกับผลประโยชน์หลักพันล้านบาท รวมทั้งเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมไทยให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่งจะต้องปรับแก้กฎหมายเพื่อให้เกิดความคล่องตัว

นอกจากนี้ สิ่งที่นายเอกนัฏ ให้ความสำคัญคือความท้าทายในเรื่องของสิ่งแวดล้อมเมื่อวันนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสภาพภูมิอากาศโลก เศรษฐกิจ และสังคม กลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง จึงไม่ใช่ปัญหาโลกสวยอีกต่อไป และเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันแก้ปัญหา ไม่ให้กระทบรายได้ประเทศ 

ทั้งนี้ จากผลกระทบจากโรงงานต่าง ๆ จะเห็นว่า เมื่อมีเหตุโรงงานเกิดอุบัติเหตุต่างๆ อาทิ สถานการณ์เพลิงไหม้ของ บริษัท ไทยพลาสติกเคมีภัณฑ์ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ถนนไอ-หนึ่ง ต.มาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2567 รมต.อุตสาหกรรม ได้เร่งสั่งการณ์ให้ยุติการดำเนินงานและเร่งตรวจสอบต้นตอของสาเหตุเพื่อควบคุมการรั่วไหลทันที 

ต่อมาเกิดเหตุระเบิดในบริเวณโรงงานของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ซึ่งผลิตเหล็กเส้นตั้งอยู่ในเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2567

ทั้งนี้ ภายหลังเกิดเหตุ รมต.อุตสาหกรรม ได้สั่งการโดยด่วนให้นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง (สอจ.ระยอง) ลงพื้นที่และสั่งให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดในทันทีเช่นกัน 

พร้อมเน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในเขตประกอบการอุตสาหกรรมฯ ต้องเข้มงวด ทั้งการกำกับโรงงานตามระเบียบและระบบสาธารณูปโภคภายใน โดยเฉพาะโรงงานส่วนที่ประกอบกิจการที่มีวัตถุอันตรายไว้ครอบครอง ต้องปฏิบัติตามกฎหมายวัตถุอันตรายและกฎหมายโรงงานอย่างเคร่งครัด

และกำชับเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม ที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลอย่างเข้มงวดโรงงานลักษณะนี้เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน โดยเน้นย้ำให้ซิน เคอ หยวน สตีล ปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้มีมาตรการความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล จึงจะอนุญาตให้ประกอบกิจการต่อไปได้

ล่าสุด วันที่ 15 ม.ค.2568 ได้สั่งปิดด่วน บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด มีการรับอ้อยเผาเข้าหีบสะสมสูงสุดจากโรงงานน้ำตาลทั้งหมด 58 โรงงาน คิดเป็น 43.11% ของปริมาณอ้อยทั้งหมด หรือกว่า 4.1 แสนตัน เทียบเท่าการเผาป่ากว่า 4.1 หมื่นไร่ โดยจังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนการรับอ้อยเผาเข้าหีบสูงสุดของประเทศ

อีกทั้งยังพบว่า บริษัท ไทยอุดรธานี เพาเวอร์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำส่งให้กับโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี โดยบริษัทฯ ฝ่าฝืนกฎหมายความปลอดภัย มีการประกอบกิจการในสภาพที่อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงถึงชีวิตและทรัพย์สินของพนักงานและประชาชนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงาน

นอกจากนี้ บริษัท น้ำตาลไทยอุดรธานี จำกัด ยังมีการประกอบกิจการที่อาจก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหายหรือความเดือดร้อนแก่พนักงานหรือทรัพย์สินที่อยู่ในโรงงานหรือที่อยู่อาศัยใกล้เคียงกับโรงงานในหลายประเด็น เช่น มีการจัดเก็บหรือการดำเนินการเกี่ยวกับสารเคมี วัตถุอันตราย และกากอุตสาหกรรมที่ใช้และเกิดจากกระบวนการผลิตของโรงงานที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม ตู้ควบคุมไฟฟ้าอยู่ในสภาพชำรุดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

อีกทั้ง มีการติดตั้งระบบดับเพลิงที่ไม่พร้อมใช้งานในหลายจุด อุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานีจึงมีคำสั่งด่วนที่สุดให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายทั้งหมด จนกว่าจะปรับปรุงแก้ไขโรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมายอย่างเข้มงวด

นายเอกนัฏ ได้เน้นย้ำว่า การประกอบการโรงงานต้องมีกระบวนการผลิตที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหนือสิ่งอื่นใด การสร้างกำไรจากการทำธุรกิจอุตสาหกรรมต้องไม่เบียดเบียนสร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและการทำธุรกิจของภาคส่วนอื่นด้วย

นี่ถือเป็นเพียงโรงงานตัวอย่างส่วนหนึ่งที่รมต.อุตสาหกรรม สั่งยุติกิจการ และให้เร่งตรวจสอบซ่อมแซมเพื่อให้ตรงตามมาตรฐานการขออนุญาต ซึ่งยังมีโรงงานอีกจำนวนมากที่ยังคงฝ่าฝืนลักลอบทำผิดกฎหมายและยังคงฝืนเปิดกิจการต่อไป 

"จึงหวังว่าผู้ประกอบการจะคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานและประชาชน ชุมชนโดยรอบโรงงาน อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาก่อนที่จะมีผู้ได้รับความเสียหายหรือสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เหมือนเช่นที่ผ่านมา"